Tag: กรรม

Veggie Cartoon : บาป & กรรม

January 19, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,335 views 0

Veggie Cartoon : บาป & กรรม

Veggie Cartoon : บาป & กรรม

เคร่ง หรือ เครียด

September 10, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,893 views 0

เคร่ง หรือ เครียด

เคร่ง หรือ เครียด

การที่คนเราจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต จากที่เคยกินเนื้อ มาเรียนรู้การลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจ ก็เป็นความคิดที่ผิดแปลกไปจากสังคมส่วนใหญ่ในทุกวันนี้อยู่แล้ว โดยส่วนมากก็มักจะถูกมองว่าเป็นคนใจบุญ เคร่งศีล หรือเคร่งเครียด ก็ว่ากันไปตามแต่ใครจะแสดงท่าทีอย่างไรออกมา

ในสภาพความเป็นจริงนั้น ผู้ที่สามารถลดเนื้อกินผักได้บ้างแล้ว เขาจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ เคร่ง ” คือเคร่งครัดในวินัย ในศีล ในตบะที่ตัวเองถือ คือจะมีข้อจำกัดหลายๆอย่างที่จะไม่กลับไปเสพเนื้อสัตว์ให้ตัวเองได้เป็นทุกข์ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เบียดเบียนผู้อื่น แต่ถ้ามันเริ่มจะเข้าสู่ความลำบากจนเริ่มที่จะ “ เครียด ” ก็อาจจะวนกลับไปกินเพื่อลดความเครียดนั้นบ้าง

เคร่ง…

คำว่า เคร่ง นั้น เป็นลักษณะของการ เคร่งในตัวเอง เอาจริงเอาจัง กวดขันในวินัยของตัวเอง เช่น พระที่เคร่งศีล คือ ท่านก็มีวินัย กวดขันในตัวของท่าน ตั้งใจตั้งมั่นในตัวเอง มีความตั้งใจที่จะลด ละ เลิกสิ่งไม่ดี ลด ละ เลิกสิ่งที่เบียดเบียนเท่าที่จะทำได้อย่างไม่ลดละความพยายาม แม้จะต้องแพ้กิเลสตัวเองกลับไปเสพบ้าง แต่ก็จะตั้งหลักกลับมาสู้กับความอยากนั้นๆต่อไป อย่างไม่ลดละ

ซึ่งตรงข้ามกับความเหลาะแหละ ความหละหลวม ความประมาท คือผู้ที่ไม่เคร่ง ก็จะไม่ใส่ใจ ไม่เอาจริงเอาจัง กินเนื้อบ้าง กินผักบ้าง ไม่จริงจัง พอใครถามก็มักจะบอกว่าไม่เคร่ง เป็นต้น

ผู้ที่ไม่เคร่งนั้น คือผู้ที่ยังไม่เห็นประโยชน์ในการลดเนื้อกินผักเท่าใดนัก และยังไม่เห็นทุกข์ โทษ ภัย จากการเบียดเบียนจนกระทั่งทุกข์ที่เกิดจากวิบากกรรมของกิเลสเหล่านั้น ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ประมาท เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ทำให้ชีวิตต้องได้รับวิบากกรรมจากการที่ยังเบียดเบียนอยู่ คือ มีโรคมาก อายุสั้น เป็นอยู่ไม่ผาสุก

เครียด…

ส่วนคำว่า เครียด นั้น เป็นลักษณะของความจริงจังจนเกินพอดี อาจจะมีผลแค่ภายในจิตใจตัวเอง คือ เคร่งจนเครียด จนเป็นทุกข์ เช่น เราตั้งใจจะลดเนื้อสัตว์ใหญ่คือเนื้อวัว และด้วยความที่เราชอบสเต็กมาก เรากินมาตลอด แต่หลังจากตั้งใจมาลดเนื้อกินผักแล้ว เราก็เลี่ยงมาตลอด จนกระทั่งความอยากที่อยู่ในใจมันถึงขีดจำกัด เราไม่มีพลังทนความอยากกินเนื้อวัวอีกต่อไป แต่เราก็ยังจะฝืนทน ก็จะทำให้เกิดความเครียด ความทุกข์ ความหดหู่ กระวนกระวายใจ ทรมาน เริ่มรู้สึกว่าทุกข์จากการอดเนื้อวัวนั้นจะมากกว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเข้าไปทุกที สุดท้ายเมื่อวางความยึดมั่นถือมั่นไม่เป็น วางความยึดดีไม่เป็น ก็จะตบะแตก กลับไปกินเนื้อวัว โดยอาจไม่คิดที่จะกลับไปลดเนื้ออีกเลย เพราะขยาดกับความทรมานจากทุกข์ที่ได้รับเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องอดกลั้น ไม่ได้กิน

เมื่อเรามาลดเนื้อกินผักในช่วงเริ่มต้นนั้น เรามักจะใช้อุดมคติเป็นตัวตั้ง คือ เราไปเห็นเขาฆ่าสัตว์ เห็นความโหดร้ายในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ เห็นความทรมาน เห็นความทุกข์จากโรคภัยที่เกิดจากเนื้อสัตว์ กระทั่งว่าเห็นความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส พอเห็นดังนั้นก็คิดอยากจะเลิกกินเนื้อสัตว์ทั้งชีวิตตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นไปเลย แต่แม้จะคิดได้เช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถหลุดออกจากนรก คือความอยากกินเนื้อสัตว์ได้ทันที อย่างที่ใจคิดฝัน

ผู้สนใจหันมาลดเนื้อกินผัก ต้องประมาณกำลังของตัวเองว่าเราจะสามารถลดได้ในระดับไหน ที่รู้สึกว่าตนเองพอทำไหว คือไม่ให้หย่อนจนไม่เจริญ และไม่ให้ตึงจนกระทั่งทำไม่ได้ ลำบาก ทรมานมากเกินไป เมื่อตั้งระดับในการลด ละ เลิกได้พอสมควรแล้วก็ให้ดำเนินชีวิตไปตามเป้าหมาย โดยพยายามประคองไม่ให้เครียดจนเกินไปนัก และเมื่อรู้สึกว่าสามารถเลิกกินสัตว์ใหญ่ได้แล้วก็ไม่รอช้า ปรับเข้ามาสู่การลดเนื้อสัตว์เล็กต่อ จนกระทั่งเลิกกินเนื้อสัตว์ เก่งขึ้นไปอีกก็กินจืด ลดมื้อของอาหารลง ลดชนิดของอาหารลง ตามลำดับ

เคร่งจนพากันเครียด…

บางครั้งความเคร่งหรือความเครียดก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเราเท่านั้น ผู้ที่สามารถลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจ บางท่านเมื่อทำได้บ้างแล้วก็จะมีความมั่นใจจึงมีความเคร่งในตัวเอง และยังเผื่อแผ่ความเคร่งของตัวเองไปเคร่งกับคนรอบข้างอีกด้วย

เช่น แม่บ้านไปเรียนรู้เรื่องมังสวิรัติมาเกิดปัญญาเห็นโทษของการกินเนื้อ และตัวเองก็มีกำลังในการตัดเนื้อสัตว์อยู่ด้วยเพราะไม่ได้ติดในรสชาติ หรือรสอะไร ก็กลับมาทำอาหารมังสวิรัติให้ที่บ้านกิน ทีนี้พ่อบ้านและลูกๆ ยังมีกิเลส อยากกินเนื้อสัตว์อยู่ เขายังไม่ได้เห็นประโยชน์ในการออกจากเนื้อสัตว์ และไม่ได้เห็นทุกข์จากการยังกินเนื้อสัตว์ เขาจึงไม่เข้าใจว่ามังสวิรัติมีประโยชน์อย่างไร

แรกๆก็พอจะทนกันไปได้ด้วยความเกรงใจและเห็นดีกับแม่บ้านอยู่บ้าง เพราะแม่บ้านก็บอกว่าทำดี ทำบุญ ฯลฯ แต่ด้วยความอยากในจิตใจก็ทำให้เกิดความกดดัน ความเครียดขึ้นมา เพราะจริงๆก็ไม่ได้ชอบกินผักและยังอยากกินเนื้อทุกวัน เมื่อไม่มีเนื้อสัตว์ให้เสพเหมือนเดิม ก็จะทำให้เกิดทุกข์ จนกระทั่งอาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจกันขึ้นมาก็ได้

ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อเรามีความเคร่ง ก็ควรจะเคร่งคลุมอยู่ภายในตัวเองเท่านั้น ไม่ควรไปเคร่งกับคนอื่น เพราะถ้าเขาเห็นว่าดี เขาก็จะกินเอง ไม่ต้องไปบังคับหรือกดดันอะไรเลย เราก็กินของเราไป เคร่งของเราไปคนเดียว เครียดไปคนเดียว อย่าให้ความติดดี ยึดดี ถือดี ไปทำร้ายคนอื่น

เช่น เราเป็นคนทำอาหารหรือซื้ออาหารให้ครอบครัวกิน เราก็ยังทำหรือซื้อให้เขากินตามที่เขาชอบเหมือนเดิม แต่เราก็ทำหรือซื้อในแบบที่เรากินมาต่างหาก เราก็ได้นั่งร่วมโต๊ะกันเหมือนเดิม ครอบครัวก็ยังเป็นสุขอยู่เหมือนเดิม และยังได้ลดเนื้อกินผักอยู่เหมือนเดิม เพราะปากใครก็ปากใคร ท้องใครก็ท้องใคร กรรมใครก็กรรมใคร ก็แล้วแต่เขาจะเลือกเอง ถ้าเขาเห็นว่ามีประโยชน์ เขาก็จะบอกเองว่าอยากกินแบบเรา ให้เราทำอาหารมังสวิรัติให้ ให้เราแนะนำความรู้ให้ เป็นต้น

เนื้อสัตว์ พืชผัก ความรู้สึกหลังจากกินมังสวิรัติแล้ว

July 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,535 views 0

เนื้อสัตว์ พืชผัก ความรู้สึกหลังจากกินมังสวิรัติแล้ว

ความแตกต่างระหว่างกินเนื้อกับกินผัก

หลายๆคนที่หันมาลองกินมังสวิรัติคงจะรับรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อเราเปลี่ยนมากินมังสวิรัติการรับรู้ที่เคยมีก็เปลี่ยนไป ทั้งๆที่เนื้อสัตว์กับผักยังมีรสชาติและคุณค่าเหมือนอย่างที่มันเคยเป็นไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นตัวเราเองที่เปลี่ยนไป เราจะมาแบ่งปันความความรู้สึกระหว่างการกินเนื้อสัตว์กับผักในสามช่วงเวลาคือ 1. ยังไม่กินมังสวิรัติ 2. กินมังสวิรัติได้เป็นประจำ 3.กินมังสวิรัติได้อย่างเป็นสุข… ลองมาอ่านกัน

1.เมื่อสมัยยังไม่กินมังสวิรัติ

ชาวมังสวิรัติส่วนใหญ่นั้นก็เคยเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์กันมาทั้งนั้น สมัยยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็รู้สึกว่ามันอร่อย เลือกหาร้านอาหารที่ขายเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย มีชื่อเสียง พืชผักนี่แทบจะไม่อยู่ในสายตา แม้จะอยู่ในจานก็ไม่เคยสนใจ เรามักจะกินเนื้อสัตว์ก่อนเสมอ ส่วนผักจะเหลือทิ้งไว้ก็ไม่มีใครใส่ใจ เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในทุกมื้ออาหาร ขาดไปเมื่อไหร่เหมือนชีวิตช่างดูอับจน ต้องมากินแต่ผัก ส่วนผักจะมีหรือไม่มีก็ได้เห็นคุณค่าเป็นเพียงแค่วิตามินส่วนเสริม ไม่ได้จำเป็นอะไรนัก มองไปยังคนที่กินมังสวิรัติว่า อยู่กันได้ยังไง ใช้ชีวิตมังสวิรัติกันไปได้อย่างไร กินเนื้อมีความสุขจะตาย จะเลิกกินไปทำไม

ในช่วงนี้เราจะลำเอียงไปทางเนื้อสัตว์ เพราะเราชอบ เราอยากกินเนื้อสัตว์ จากความเคยชิน รสอร่อยที่เราติดยึด กินเนื้อจะอร่อย กินผักก็เฉยๆ ก็แค่พืชผัก ในตอนนี้ เนื้อสัตว์จะเป็นพระเอก พืชผักจะเป็นตัวประกอบ

2. เมื่อเรียนรู้และสามารถกินมังสวิรัติได้เป็นประจำ

วันหนึ่งคนทั่วไปที่เคยหลงติด หลงเข้าใจไปว่าเนื้อสัตว์อร่อยมีคุณค่าจำเป็นต่อชีวิต ก็ได้รับความรู้ใหม่ คือโทษจากการกินเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การเบียดเบียน กระทั่งเรื่องของกิเลสและกรรม หรือความรู้อื่นๆ ก็ทำให้เขาตัดสินใจ ลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ จนสามารถปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม กินมังสวิรัติได้เป็นเวลานานและติดต่อกัน โดยไม่กลับไปแตะต้องเนื้อสัตว์เลย พบกับความสุขที่ไม่ต้องไปกินเนื้อสัตว์แล้ว มองไปยังคนที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ว่า กินเนื้อสัตว์กันไปได้อย่างไร มันทั้งเบียดเบียน และทำให้เสียสุขภาพ ฯลฯ

ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากการกินเนื้อสัตว์มาสู่มังสวิรัตินี้ เราจะเริ่มลำเอียงไปทางพืชผัก น้ำหนักที่เคยเอียงไปทางด้านเนื้อสัตว์จะค่อยๆลดลงและพืชผักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราชอบพืชผักด้วยที่มันมีประโยชน์ ไม่เบียดเบียน และเราเกลียดการกินเนื้อสัตว์ ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ เพราะมันเบียดเบียนกินพืชผักจะอร่อย กินเนื้อสัตว์จะไม่อร่อย ในตอนนี้ พืชผักจะเป็นพระเอก เนื้อสัตว์จะเป็นผู้ร้าย

3. เมื่อเรากินมังสวิรัติได้อย่างเป็นสุข

เมื่อเรากินมังสวิรัติเป็นประจำ และสามารถลด ละ เลิก ความยึดดี ถือดี ถือตัวถือตน ความติดดีในการกินมังสวิรัติได้แล้ว เราก็จะสามารถมองเนื้อสัตว์และพืชผัก เป็นอย่างที่มันเป็นตามความเป็นจริง โดยไม่มีความลำเอียงไปในด้านรักเนื้อสัตว์ไม่สนพืชผัก หรือรักพืชผักเกลียดเนื้อสัตว์เพราะเข้าใจเหตุปัจจัยที่ส่งผลแก่กันและกัน ในคนที่ยังกินเนื้อสัตว์และสัตว์ที่ต้องตายไปเพื่อคนที่กินเนื้อสัตว์

เราจะเลือกกินแต่สิ่งที่มีคุณค่าแท้ต่อร่างกายและจิตใจ จะเข้าใจถึงโทษและประโยชน์โดยปราศจากความลำเอียง ความรักชอบ เกลียดชังใดๆ เป็นเสมือนตราชั่งที่ตั้งไว้เสมอกันไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่เมื่อวางเนื้อสัตว์กับผักลงไปในแต่ละฝั่งแล้ว ตราชั่งจะเอียงไปในด้านที่มีคุณค่าที่มากกว่า ซึ่งเป็นคุณค่าต่อตนเอง ต่อผู้อื่นหรือสัตว์อื่น ต่อสังคมและโลก

ในช่วงนี้เราไม่ได้ลำเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เราเลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์แท้ เราจึงกินอร่อยด้วยคุณค่า ไม่ใช่ด้วยความอยากหรือไม่อยาก ในตอนนี้ ผักจะเป็นตัวเลือกแรก และเนื้อสัตว์จะเป็นตัวเลือกสุดท้ายหรืออาจจะไม่ใช่ตัวเลือกเลยก็ได้ แล้วแต่ว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เป็นกุศลสูงสุดในขณะนั้น

เมื่อกินมังสวิรัติอย่างมั่นคงมาได้แล้ว ทดลองกลับไปกินเนื้อ จะรู้สึกถึงความแตกต่างชัดเจนขึ้นโดยจะให้คุณค่าในทางมังสวิรัติมากกว่า เพราะการกินผัก จะทำให้ร่างกายเบา สบาย ย่อยง่าย ขับถ่ายง่าย ต่างจากตอนกินเนื้อ ซึ่งทำให้รู้สึกอึดอัด แน่น ท้องตึง ย่อยยาก รวมถึงขับถ่ายยาก ผู้กินสามารถใช้ร่างกายของตัวเองเป็นห้องทดลองได้ เราจะได้รู้ข้อดีของการกินมังสวิรัติ และข้อเสียของการกินเนื้อสัตว์ด้วยร่างกายของเราเองโดยไม่มีความลำเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่ง แต่รับรู้ด้วยร่างกายตามที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่แค่ได้ยินได้ฟังเขามา

อ่านมาจนถึงตรงนี้ แล้วคุณล่ะ รู้สึกอย่างไรกับเนื้อสัตว์ รู้สึกอย่างไรกับผักหรือการกินมังสวิรัติ ? กินแล้วมีความสุขอยู่ไหม? เห็นคนกินเนื้อแล้วยังอยากกินกับเขาอยู่ไหม? หรือรู้สึกไม่ชอบ ยังชัง ยังรู้สึกไม่ดีที่เขายังกินเนื้อบ้างไหม? เลือกแบ่งปันประสบการณ์กันได้ตามสะดวกเลย