Tag: มังสวิรัติ
ประสบการณ์การกินมังสวิรัติในร้านสุกี้ และการเปลี่ยนแปลงจากสุกี้เนื้อสัตว์มาสู่สุกี้มังสวิรัติ
การกินมังสวิรัติในร้านสุกี้ ถือเป็นด่านที่ค่อนข้างง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่หัดกินมังสวิรัติใหม่ๆ หากมีเพื่อนหรือครอบครัวนัดกันไปกินสุกี้ เราก็สบายใจได้เลยว่ามื้อนี้จะรอดไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เราจะมาลองแชร์ประสบการณ์กินมังสวิรัติในร้านสุกี้กัน
ไปครั้งนี้สั่งไม่เยอะ ไม่หลากหลายเท่าไรนัก เพราะไปกับพ่อสองคน ร้านสุกี้มักจะเป็นร้านที่เรานั่งกินกันตามประสาพ่อลูกเป็นประจำ กินกันมาตั้งแต่ยังไม่กินมังสวิรัติจนตอนนี้เปลี่ยนมากินมังสวิรัติ …ก็จะขอแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการสั่งอาหารไว้ในบทความนี้ด้วย
เมื่อมาถึงร้านสุกี้ เราก็มักจะเปิดเมนูสั่งผักกันก่อน ถ้าเราไม่คิดมากก็กินแต่ผักก็ได้ มีผักให้เลือกมากมายหลายหน้าตา มีรสชาติและรสสัมผัสต่างกันไป เราสามารถสั่งผักแยกตามที่ชอบกิน หรือจะสั่งเป็นชุดรวมก็ได้หากมาเป็นกลุ่มใหญ่ ขึ้นชื่อว่าผักมาเท่าไหร่เราก็กินเรียบ
วิธีการกินผักให้มีความสุข คือ เราควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับผักแต่ละชนิดว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง มีวิตามิน มีคุณค่าทางอาหารแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งการรู้ประโยชน์นั้นจะทำให้เรากินผักอย่างมีความสุข เพราะรู้ถึงคุณค่าในผักแต่ละชนิดที่กิน และยังสามารถรู้ไว้ประเมินธาตุอาหารที่จะได้รับได้อีกด้วย เมนูผักที่สั่งเป็นประจำก็จะมี ผักบุ้ง ผักกาดขาว สาหร่ายวากาเมะ ส่วนรูปทางขวาบน คือ ปวยเล้ง ไม่ได้สั่งประจำสักเท่าไรนัก
ด้านขวาล่างคือ คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ชาวมังสวิรัติอาจจะคิดไปว่า เอ๊ะ! จานนี้มีน้ำมันหอยนี่นา …อย่าเพิ่งใจร้อนตัดสินกันไป เพราะกว่าจะมาถึงจานนี้มันมีที่มาที่ไป ลองมาอ่านกันเลย….
แต่ก่อนเวลากินกับพ่อจะสั่งเป็ดย่างเป็นประจำ แต่เมื่อเราหันมากินมังสวิรัติ ในช่วงแรกนั้นก็ยังสั่งเป็ดย่างมากิน แต่กินโดยที่ใจไม่ได้อยากกิน ไม่อร่อยแล้ว กินเป็นเพื่อนพ่อไป ต่อมาตั้งใจ ละเว้นเด็ดขาด แม้สั่งเป็ดย่างมาแต่ก็ไม่กิน สั่งเพื่อให้พ่อกินคนเดียว สุดท้ายก็ไม่หมด และเราก็ไม่ได้ช่วยกิน ปล่อยมันเหลือไว้อย่างนั้น จนพ่อบอกว่าครั้งหน้าไม่ต้องสั่งก็ได้ เราก็เลยเสนอว่า “ ครั้งหน้าเอาเป็น คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ดีไหม?” เพราะว่าเรามักจะกินเป็ดย่างกับบะหมี่หยกกันเป็นประจำ ถ้ามันขาดไปคงจะเหงาไปหน่อย ซึ่งในตอนนี้ คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย เลยเป็นตัวแทนเป็ดย่างนั่นเอง เข้าสูตรการลด การกินเนื้อสัตว์แล้ว ส่วนจะพัฒนาไปอย่างไร ก็รอดูกันต่อไป
ถ้าเราสามารถละเว้นเนื้อสัตว์ได้สมบูรณ์แล้ว เราอาจจะอนุโลมเป็นกรณีไป ซึ่งต้องประมาณให้เกิดกุศล อย่าบ่อยจนเกินไป อย่างกรณีนี้เป็นคนในครอบครัว ซึ่งเราก็ไม่เคยไปบอกให้เขาหันมากินมังสวิรัติเหมือนเรานะ แค่ทำให้ดู กินให้ดู ไม่หันกลับไปอยากกินเนื้อสัตว์ ไม่ทำตัวไม่มั่นคง ให้เขาไขว้เขวว่ามังสวิรัติดีจริงรึเปล่า? ให้เขาสับสนว่าเลิกกินเนื้อสัตว์แล้วมีความสุขจริงหรือ? เราจะพูดแต่เรื่องดีๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ได้จากการกินมังสวิรัติ โดยไม่ต้องไปกดดัน บีบคั้น หรือไปบอกว่าคนกินเนื้อสัตว์เบียดเบียนอย่างไรให้เขาลำบากใจ
เชื่อไหมว่าเดี๋ยวเขาก็ตามมากินแบบเราเองนั่นแหละ อย่างน้อยเขาก็เห็นดีเห็นควรตามเรา แม้ว่าเขาจะสามารถกินมังสวิรัติได้เฉพาะเวลาร่วมโต๊ะกับเราก็ตาม แต่นั่นหมายถึงเราเปิดประตูและเชิญเขา เข้ามาสู่ชีวิตมังสวิรัติได้บ้างแล้ว เป็นกุศลมากพอแล้ว เพราะเรามีโอกาสจะสร้างชาวมังสวิรัติเพิ่มอีกหนึ่งคน ในทางกลับกันถ้าเราไปกดดัน บีบคั้น รังเกียจคนกินเนื้อสัตว์ อาจจะเผลอไปพูดทำร้ายจิตใจเขา จนเสียโอกาสที่จะเพิ่มชาวมังสวิรัติไปอีกคนหรือหลายคนเลยก็ได้ เพราะจริงๆแล้วคนเราติดยึดไม่เท่ากัน กว่าเราจะออกจากการเบียดเบียน กว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ก็ใช้เวลากันนานพอสมควร …ดังนั้นการที่คนอื่นจะติดยึดในการกินเนื้อสัตว์ จะใช้เวลานานกว่าจะรู้ถึงผลเสีย จนถึงเนิ่นนานไปอีกกว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
มาต่อกันที่เมนูสุกี้มังสวิรัติ เราจะเพิ่มโปรตีนกันด้วยเต้าหู้ มีเต้าหู้มากมายให้เลือกสั่ง ที่ร้านสุกี้มักจะมีให้เลือกระหว่างเต้าหู้ไข่ กับเต้าหู้ธรรมดา ซึ่งน่าจะทำจากถั่วเป็นหลัก ใครอยากลองลดไข่ก็เริ่มจากสั่งเต้าหู้ถั่วเขียวไปก็ได้ เพราะกินไปก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
ต่อกันที่เมนูเห็ด เลือกเห็ดมาสามชนิด คือ เห็ดฟาง เห็ดชิเมจิดำ เห็ดชิเมจิขาว คิดอะไรไม่ออกก็สั่งเห็ดนี่แหละ รวมๆแล้วแค่สั่งสามอย่างคือ ผัก เต้าหู้ เห็ด ให้หลากหลาย ก็มีของให้กินเต็มหม้อสุกี้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าชาวมังสวิรัติจะต้องลำบากในร้านสุกี้ แม้ว่าเพื่อนๆ หรือผู้ร่วมโต๊ะจะกินเนื้อ เราก็กินมังสวิรัติของเราไปได้อย่างสบายใจ เพราะจิตใจเราไม่ได้อยากกินเนื้อ และไม่ได้รังเกียจคนที่กินเนื้อ เพราะเข้าใจดีว่าการเลิกกินเนื้อนั้นยาก ต้องใช้เวลา เราเข้าใจและเห็นใจ พร้อมทั้งยังให้อภัยที่พวกเขากินเนื้ออันมีส่วนในการเบียดเบียน และสุดท้ายเรานี่แหละคือตัวอย่างที่จะทำให้เขาเห็นว่ากินมังสวิรัติแล้วชีวิตดีขึ้นอย่างไร
มาถึงสุดท้าย คือ แป้ง เป็นธาตุอาหารที่ขาดไม่ได้ของชาวมังสวิรัติ ตั้งแต่กินมังสวิรัติมา ไม่เคยลดแป้งเลย ไม่เคยงดข้าว ไม่เคยกินสลัดแทนข้าว (ยกเว้นว่าไปร้านสลัด) ข้าวนี่แหละจะทำให้เรามีแรง มีกำลัง ดังนั้นมากินสุกี้เราจึงสั่ง ข้าวสวย มาด้วยหนึ่งถ้วย เท่านั้นยังไม่พอ เรายังสั่ง เส้นอุด้ง มาด้วย เพื่อความหลากหลายในหม้อสุกี้ และที่ยังขาดไม่ได้คือ บะหมี่หยกราดน้ำเป็ด
อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้ เรากำลังจะปรับสู่ การลด ละ เลิก ในระดับสังคม ดังนั้นการเอื้อให้ผู้อื่นบ้าง ให้เขาได้ทดลองกินมังสวิรัติด้วยความรู้สึกไม่ลำบากจนเกินไป เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าเราไปบีบคั้น ด้วยข้อมูลมากมายว่ายังเหลือการเบียดเบียน กินเนื้อสัตว์ไม่ดี ฯลฯ อาจจะเรียกได้ว่าตึงจนเกินไป ซึ่งจริงๆแล้ว เราควรจะตึง หรือเคร่งกับตัวเองเท่านั้น และให้หย่อนกับคนอื่น ให้เมตตากับคนอื่นมากๆ มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ที่เขาจะไม่รู้ทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียจากการเบียดเบียน เรามีหน้าที่เพียงแค่บอกข้อมูลด้วยเมตตา บอกไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ บอกเนื้อหาให้เหมาะกับเขา พอที่เขาจะรับได้ เข้าใจได้ ไม่ลำบากใจจนเกินไปเขารับได้ เขาสนใจก็ยินดีกับเขา เขาไม่รับไม่สนใจ เราก็วางใจ ปล่อยวางไป
วิธีการเพิ่มชาวมังสวิรัติก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ทำตัวเองให้มั่นคงกับการกินมังสวิรัติ ไม่ย่อหย่อน หาข้ออ้างมากมายเพื่อที่จะได้กินเนื้อสัตว์อย่างสบายใจ ตัดเนื้อสัตว์ให้เด็ดขาด อย่าให้หลงเหลือแม้ความอยากในจิตใจ ให้เขาได้สงสัยในความตั้งใจของเรา ให้เขาเห็นสิ่งดีที่เกิดขึ้นจริงๆด้วยตัวเขาเอง ถ้าเราเชื่อในสัจจะว่าการไม่เบียดเบียนนำสุขมาให้ วันหนึ่งสิ่งนั้นจะแสดงผลของมันเอง และเมื่อเขาเห็นผล เข้าใจเหตุที่มาว่าทำไมจึงเกิดผลขึ้น ถึงวันนั้นเขาสนใจ เขาก็จะมากินมังสวิรัติตามเราเอง
อาหารมังสวิรัติ ไม่อร่อย?
การเริ่มต้นกินมังสวิรัติ ผู้ทดลองกินหลายคนก็คงจะได้สัมผัสกับความแตกต่าง ที่ต่างไปจากตอนที่ยังกินเมนูอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมอยู่ ไม่มากก็น้อย
ถ้าให้คนทั่วไปเลือกว่าจะกินเนื้อหรือผักในราคาที่จ่ายตามจริง หลายคนก็ยังคงจะเลือกที่จะกินเนื้อ แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่า แต่เขาก็ยินดีที่จะแลกกับความอร่อยที่จะได้รับ คงจะมีส่วนน้อยที่จะเลือกกินผักเป็นหลัก หรือคนที่เลือกกินเนื้อสัตว์นั่นเขาอาจจะเข้าใจว่า อาหารมังสวิรัติ ไม่อร่อย? (เท่าเนื้อ)ก็เป็นได้
จากที่สังเกตจากตัวเองมาพบว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้ติดในรสชาติของเนื้อสัตว์ แต่เราติดในรสชาติของการปรุงอาหาร เช่น เมื่อสมัยที่ยังกินเนื้อสัตว์ ชอบไปสั่งอาหาร ที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย “กะเพราหมูกรอบไข่ดาว” แต่พอหันมากินมังสวิรัติก็เปลี่ยนเป็น “กะเพราเห็ดดอกกะหล่ำ” รสชาติยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เพียงแค่รสสัมผัสบางอย่างหายไป เช่นความกรอบ ความหนาของวัตถุดิบที่เคี้ยว (กินผักเคี้ยวง่ายกว่าเนื้อสัตว์อยู่แล้ว)
ก็เลยเข้าใจว่าจริงๆแล้วเราสามารถแทนที่วัตถุดิบได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรสชาติ จะทำให้เราหันมากินมังสวิรัติได้ง่ายขึ้น โดยสามารถก้าวข้ามความรู้สึกว่า อาหารมังสวิรัติไม่อร่อยไปได้ง่าย เพราะจริงๆแล้วความอร่อยไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์แต่มาจากการปรุงรส และจริงยิ่งกว่านั้นคือความอร่อยมาจากกิเลสของเราเองต่างหาก
การเริ่มต้นกินอาหารมังสวิรัติที่ร้านอาหารที่ขายมังสวิรัติหรือเจ โดยตรง อาจจะทำให้รู้สึกแปลกใจในรสชาติ และรสสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย (แต่จริงๆแล้วร้านอาหารมังสวิรัติ&เจ เขาก็ทำอาหารอร่อยนะ) เราอาจจะเริ่มลองเปลี่ยนจากเมนูในชีวิตประจำวันให้มีผักมากขึ้น แทนที่เนื้อด้วยผักมากขึ้น โดยให้คงรสชาติอาหารให้เหมือนเดิม ให้ตัวเราเองค่อยๆปรับตัวเรียนรู้กับอาหารมังสวิรัติไปอย่างช้าๆ จะดีกว่าหักดิบเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเพียงความคิดแค่ว่าคนอื่นทำได้เราก็ทำได้ เพราะเพียงแค่ “คิด” ว่าจะกินได้นั้น ยังมีพลังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง บางครั้งอาจจะยากเกินไปที่เราจะทำได้ ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าเราติดยึดเนื้อสัตว์มาก จะเลิกในวันสองวันคงทำไม่ได้ มันจะทรมานร่างกายและจิตใจเกินไป ส่วนผู้ที่สามารถปรับมากินมังสวิรัติได้ตามที่ใจคิดก็ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านจัดอยู่ในหมวดคนมีบุญ
แต่…ฉันยังอยากมีความสุขกับการกินเนื้ออยู่…. เคยได้ยินประโยคนี้มา ยอมรับเลยว่าเป็นคำพูดที่จริงใจมาก การยอมรับว่าตัวเองอยากเสพหรือติดอะไร จะเป็นกุญแจที่ไขสู่การแก้ปัญหาได้ง่ายมากกว่าการ ปิดบัง สร้างภาพ วางฟอร์ม ฯลฯ
ต้องยอมรับจริงๆเลยว่าสมัยก่อนก็เคยมีความสุขกับการกินเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเราได้สุขที่เหนือกว่า เรามีสิ่งใหม่ที่ดีกว่า เราเลยยอมทิ้งสิ่งเก่าที่ดูเหมือนว่าจะดี ที่มันหลอกเรามาทั้งชีวิตว่าดี
เราใช้ชีวิตผิดๆมา จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมาบอกว่าการกินมังสวิรัตินั้นดี ด้วยความที่เราพิจารณาตามเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อกันและกัน เราก็ว่าดี เลยทดลองปฏิบัติตามดู จนวันหนึ่งได้พบกับ “ ความสุขที่มากกว่า” คือความสุขที่ปราศจากความอยาก การเบียดเบียนใดๆ เป็นสุขที่มากกว่าเสพ ให้เอาเนื้อสัตว์กิโลกรัมและแสนบาท ล้านบาท หรือมากกว่านั้น มาแลกก็ไม่ยอมเสียไป
มีคนมากมายถามว่า ไม่อยากกินเนื้อสัตว์แล้วหรือ? เห็นแล้วอยากกินไหม? มันโหยหาไหม? เราก็สามารถตอบไปได้เต็มปากเลยว่ามันไม่มีความอยากเหลือเลย เคยไปกินเลี้ยงอยู่ครั้งหนึ่งเขาเลี้ยงสเต็กกัน เราก็สั่งขนมปัง มันฝรั่ง ซุปข้าวโพด สลัดผัก มากินได้อย่างมีความสุข แม้ว่าจะมีเนื้อสเต็กชั้นดีวางตรงหน้า หั่นไว้ให้พร้อมจิ้มเข้าปาก แต่เราก็ยินดีที่จะไม่กินมันอย่างมีความสุข
ในความจริงประโยค “ฉันยังอยากมีความสุขกับการกินเนื้ออยู่….” ผู้กล่าวขึ้นมา ก็ได้แสดงความทุกข์ออกมาอยู่แล้ว นั่นคือถ้าไม่ได้กินเนื้อจะทุกข์ การลำบากไปหาเนื้อสัตว์กินก็ทุกข์ เพราะต้องไปตามหารสชาติหรือรสสัมผัสที่มากกว่าเดิมเรื่อยๆมาสนองกิเลสที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ทุกครั้งที่กินเนื้อก็จะได้สุขจากเสพเพียงเล็กน้อย แต่กลับได้ความ “อยาก” เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องแสวงหาเนื้อคุณภาพดีที่ถูกปาก ให้ลำบากกายไปหากิน ไปหาเงิน หาเวลาไปกินกันต่อไป
จึงจะเห็นได้ว่ายิ่งเสพ…ยิ่งอยากเสพ ยิ่งอยากเสพมาก…กิเลสก็เพิ่มมาก กิเลสมาก…ก็ทุกข์มาก มีแต่ทุกข์กับทุกข์ทั้งต้นทางและปลายทางเท่านั้นเอง
ในเมื่อทุกข์มันรออยู่ปลายทางแล้วยังจะเดินต่อไปอีกหรือ? ยังทุกข์ไม่พออีกหรือ? และสุดท้ายไม่ว่าจะมีเงิน ทอง ทรัพย์สิน เท่าไร ก็คงไม่สามารถซื้อสุขมาเติม ตามที่กิเลสต้องการจะเสพให้เต็มได้
มังเขี่ย
การใช้ชีวิตมังสวิรัติในสังคมปัจจุบันนั้น เราอาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการกินมังสวิรัติสักเท่าไรนัก คงมีหลายครั้งที่เราต้องเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ที่ไม่ได้กินมังสวิรัติ จะทำอย่างไรให้เรากินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจ
มังเขี่ย คือกลยุทธ์หนึ่งในการกินมังสวิรัติ เมื่อเราต้องกินอาหารร่วมโต๊ะกับผู้คนที่หลากหลาย ก็ย่อมมีอาหารที่หลากหลายตามไปด้วยมีทั้งเนื้อสัตว์ทั้งผักปนเปกันไป เมื่อเห็นเช่นนั้น เราจึงใช้การกินมังสวิรัติแบบเขี่ย คือเขี่ยเอาเนื้อสัตว์ออกไป และเขี่ยผักเข้ามา เมื่อเรามีจิตใจที่ตั้งมั่นในการกินมังสวิรัติ เราย่อมไม่หวั่นไหวต่อเนื้อสัตว์ที่อยู่ตรงหน้า ยินดีที่จะละเว้นเนื้อสัตว์และพยายามเอาตัวรอดโดยการกินแต่ผัก
และแม้ว่าอาหารที่เราสั่งนั้นจะมีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบร่วม เราก็สามารถเขี่ยเนื้อออกไป โดยยกให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่ยังกินเนื้ออยู่ หรือจะเลือกละเว้นไว้ก็ได้ ถ้าให้ดีที่สุดก็เลือกที่จะสั่งอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และถึงแม้เราว่าจะไม่กินเนื้อเหล่านั้น สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นอาหารของใครสักคนแน่ๆ ถึงไม่ใช่ใครสักคนก็อาจจะเป็นสัตว์สักตัว หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารจุลินทรีย์ไป ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังยินดี ที่เราจะไม่ไปเสพผลของการเบียดเบียน ซึ่งจะกลับกลายมาเป็นวิบากกรรมของเราเองในวันใดวันหนึ่ง
มังเขี่ย ในอีกนัยหนึ่ง คือการเขี่ยเนื้อออกไปจากชีวิต และเขี่ยผักเข้ามาในชีวิต เราเลิกที่จะต้อนรับเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ไปโดยลำดับ เริ่มเรียนรู้การทดแทนอาหารต่างๆด้วยพืชผัก จนกระทั่งเราสามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยพืชผักได้อย่างลงตัว มีความสุขกาย เบากาย มีกำลัง มีความยินดีในการลด ละ เลิกเนื้อสัตว์และการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นโดยไม่มีความโหยหา คิดถึง ในเนื้อสัตว์ที่เคยยึดติดอีกต่อไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มังเขี่ยนั้นไม่ได้ทำได้ง่ายอย่างใจคิด ทุกครั้งที่เราจะเขี่ยเนื้อออกไป เขี่ยผักเข้ามา เราต้องสู้กับกิเลสที่เราผูกมานานแสนนาน เรากินเนื้อสัตว์มาทั้งชีวิต โตขึ้นมาก็เพราะกินเนื้อสัตว์ ความทรงจำในชีวิตมีแต่เนื้อสัตว์ หิวทีไรก็นึกถึงแต่เนื้อสัตว์ ดังนั้นในทุกๆคำที่เราจะเขี่ยผักเข้ามาแทนที่เนื้อ เราต้องสู้กับกิเลสของเราอย่างแน่นอน จะแพ้บ้าง ชนะบ้าง ก็ไม่เป็นไร ให้เราตั้งใจพิจารณาโทษของการกินเนื้อ ความทุกข์ โรค ภัยที่เกิดกับร่างกายของเรา กรรมชั่วที่เราจะได้รับจากการมีส่วนเบียดเบียนในชีวิตอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเราเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าการกินมังสวิรัตินี่แหละดีที่สุด วันนั้นเราจึงจะสามารถกินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องโหยหาเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์อีกต่อไป
คนที่กินมังสวิรัติหลายๆคน ต่างก็เคยเป็นคนที่กินเนื้อสัตว์ เคยเสพติดความอร่อยจากเนื้อสัตว์ ชีวิตประจำวันมีแต่อาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ แต่ทำไมวันนี้พวกเขาเหล่านั้นกลับเลือกที่จะเขี่ยเนื้อสัตว์ออกจากชีวิต และหันมาเขี่ยผักเข้าปากแทน มันน่าสนใจไหม ว่าทำไมเขาถึงยอมทิ้งสิ่งที่เคยคิดว่าดี คิดว่าสุขเหล่านั้น หรือเป็นเพราะว่า พวกเขาเจอสิ่งที่ดีกว่า?
มังสวิรัติ ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป
การเริ่มต้นคิดจะลองกินมังสวิรัติสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะมีร้านอาหารที่ขายอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจอยู่มากมายแต่การที่จะเปลี่ยนมากินมังสวิรัติอย่างจริงจังนั้นไม่ง่าย เพราะการจะพึ่งพาร้านอาหาร หรือสถานที่ที่เราคุ้นเคยนั้นจะทำให้เราไม่ได้เรียนรู้การปรับตัวเมื่อปัจจัยเปลี่ยนแปลง เช่น เมื่อต้องเดินทางออกไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เมื่อต้องทานอาหารร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
จุดประสงค์หรือปลายทางของผู้ที่คิดจะกินมังสวิรัตินั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือต้องการจะลดการเบียดเบียนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป หากเราได้มีการวางแผน ลำดับการเรียนรู้และพัฒนาการกินมังสวิรัติของเราให้ได้สมบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ไปตามลำดับ โดยที่ไม่บีบบังคับให้ตัวเองเกิดความทุกข์ ทรมานจากความโหยหาอยากกินเนื้อสัตว์จนเกินไป และไม่เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เป็นประจำอย่างเดิมเพราะทนความอยากไม่ไหว
ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้การกินมังสวิรัติ เราอาจจะพบปัญหา กินได้ไม่นานก็เลิก, กินตามคนอื่นเขาไปโดยไม่รู้ว่ามันดีอย่างไร, ทนกินไปเพราะคนอื่นเขาว่ามันดูดี, กินไปก็ไม่มีความสุข, กินไปก็ทรมาน เพราะใจจริงก็ยังอยากกินเนื้อสัตว์อยู่ สุดท้ายก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดเลย ถ้าเราพยายามเรียนรู้ที่จะ ลด ละ เลิก ไปตามลำดับที่เราทำไหว โดยตั้งใจที่จะพัฒนาสู่ความเบียดเบียนที่น้อยลงเรื่อยๆ อย่างมีความสุข
…การเริ่มต้นโดยลำดับ ลด ละ เลิก
ลด…. ผู้ที่สนใจหรือต้องการเริ่มต้นกินมังสวิรัติ ควรจะทดลองลดการกินเนื้อสัตว์ดูก่อน ลดในรูปแบบชนิดของสัตว์ ลดจากสัตว์ใหญ่ไปหาสัตว์เล็ก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา อาหารทะเล แมลง ไข่ นมสัตว์ เป็นการลดการฆ่าและการเบียดเบียนไปตามลำดับ และเรายังสามารถลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์ด้วยก็ได้ เช่น การปรับเปลี่ยนเมนูอาหารสู่การลดการใช้เนื้อสัตว์ เปลี่ยนวัตถุดิบจากเนื้อสัตว์กลายเป็นผัก กินอาหารที่ผสมผักในอัตราส่วนที่มากขึ้น เพิ่มผักในแต่ละมื้อให้มากขึ้น ลดการกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลงไป ค่อยๆลดไป จนรู้สึกว่าสามารถทำได้มากกว่า การลด
ละ…. เมื่อมีกำลังใจมากพอ จนรู้สึกว่าสามารถลดการกินเนื้อสัตว์ได้มากแล้ว ให้ลองละเว้นการกินเนื้อสัตว์ เป็นช่วงเวลา เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ในมื้อเย็น, ไม่กินเนื้อสัตว์วันเสาร์อาทิตย์, ไม่กินเนื้อสัตว์สัปดาห์แรกของเดือน, ไม่กินเนื้อสัตว์ในเดือนเกิด, ไม่กินเนื้อสัตว์ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ในการละนี้ อาจจะละเป็นชนิด เช่น ละเนื้อวัวช่วงเวลาหนึ่ง เนื้อวัวหมูไก่ช่วงเวลาหนึ่ง หรืออาจจะละเว้นการเบียดเบียนใดๆก็ตามในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ ละเท่าที่สามารถทำได้ในขีดที่ไม่ทรมานร่างกายและจิตใจตนเองมากเกินไปจนรู้สึกทุกข์ จนเข็ดขยาดกับการกินอาหารมังสวิรัติ โดยให้เพิ่มช่วงเวลาและชนิดของการละเว้นให้มากขึ้น มากขึ้นจนมั่นใจว่าเราละได้อย่างสบายใจ และรู้สึกยินดีที่ได้ละเว้น
เลิก…. เมื่อเราเรียนรู้ที่จะกินมังสวิรัติได้มากพอที่จะมั่นใจว่า สามารถเลิกได้แล้ว อาจจะมีอารมณ์คิดถึง อยากกินอยู่บ้าง เผลอไปกินอยู่บ้าง ทั้งๆที่ใจนั้นไม่ได้อยากกิน หรืออยากเสพรสในเนื้อสัตว์นั้นแล้ว ก็ให้ตั้งใจที่จะเลิก เลิกกินเนื้อสัตว์นั้นๆไปเลย เลิกให้มันออกจากชีวิตไปเลย ไม่มีการอนุโลมว่าจะไปกินในกรณีใดๆ ใครชวนก็ไม่เอา ให้ฟรีก็ไม่เอา พาไปเลี้ยงแถมเงินให้ก็ไม่เอา แม้คนที่เคารพ มีบุญคุณ มีผลประโยชน์ จะหว่านล้อมให้เรากิน เราก็ไม่กิน
ในด่านของการเลิก เรามักจะเจอเหตุการณ์ที่พาให้เราหลงกลับไปกินได้อยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะเรากลัวคนอื่นลำบากใจ กลัวคนนินทา โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องเข้ากลุ่มสังคม หรือแม้กระทั่งในใจลึกๆก็ยังอยากกินอยู่ และเรามักจะใช้เหตุอื่นๆเป็นข้ออ้างในการกลับไปกินเนื้อสัตว์ มีข้ออ้างมากมายทำให้กลับไปกินเนื้อสัตว์ ความคิดที่ว่ากินไปเถอะอย่าคิดมากเลย เริ่มไม่จริงจัง ปล่อยวางก่อนเวลาอันควร กลายเป็นเหยาะแหยะ ครึ่งๆกลางๆ นั่นแหละตัวกิเลส กิเลสคือนักหาเหตุผลที่จะทำให้กลับไปเสพที่เก่งที่สุดในโลก (ของแต่ละคน) ณ จุดที่ตัดสินใจจะเลิก จะต้องเด็ดขาด จริงจัง ยอมถวายชีวิตกันไปเลย ไหนๆ วัว หมู ไก่ ปลา กุ้ง ปลาหมึก ฯลฯ มันก็เคยตายเพื่อ(กิเลส)เรามาเยอะแล้ว ในครั้งนี้เราจะยอมจริงจังเพื่อมันบ้าง
การ ลด ละ เลิก จะไม่สามารถพัฒนาได้เลย หากขาดการเรียนรู้และพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง การหาข้อมูลเกี่ยวกับมังสวิรัติ ความจริงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ทุกครั้งที่เราคิดจะกินหรือไปกินเนื้อสัตว์มาแล้ว ให้พึงระลึกไว้ว่าเราได้มีส่วนสร้างกรรม อันคือความเบียดเบียนให้แก่สัตว์อื่นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะเวียนกลับมาเป็น ทุกข์ โทษ ภัยสู่ตัวเราเอง พิจารณาโทษของการกินเนื้อสัตว์ ความไม่สบายร่างกาย อึดอัดแน่นท้อง ปวดเมื่อย โรคภัยไข้เจ็บ พิษและสารเคมีตกค้าง ความสิ้นเปลือง ฯลฯ โดยให้รู้ว่าความอยากกินเนื้อสัตว์มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เราไปหาอะไรกินให้อิ่มเดี๋ยวมันก็จะลืมไปเอง แท้จริงแล้วความอยากในการกินเนื้อสัตว์มันก็ไม่ใช่สาระอะไรของชีวิตเลย ซ้ำยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เราเกิดความอยาก จนต้องลำบากหาเนื้อสัตว์มากินอีก ทั้งที่จริงก็ได้มีการพิสูจน์กันมากมายแล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรง มีกำลัง เหมือนอย่างคนทั่วไปและที่เหนือกว่าคนทั่วไปก็มี และประโยชน์ในการเปลี่ยนเข้ามาสู่การกินมังสวิรัติ ไม่ว่าจะเป็นความสบายใจ สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ประหยัด บุญและกุศล พยายามหาข้อดี หาประโยชน์ที่ชวนให้เห็นข้อดีตามจริงของการกินมังสวิรัติ หาความรู้กันไปพิจารณาทบทวนกันไปสักวันหนึ่งก็จะเจริญขึ้นเอง
สุดท้าย…. เมื่อเราเลิกได้แล้ว เมื่อเห็นก็รู้สึกว่าไม่อยากกินแล้ว มีโอกาสที่จะได้กิน ก็ยินดีที่จะไม่กินอย่างมีความสุข สบายใจ ไม่โหยหา ไม่เสียดาย ไม่คิดถึง ไม่กังวล ที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์เหล่านั้น แม้จะลองกลับไปทดลองกินก็ไม่ได้เกิดความสุขอย่างที่เคยมีในสมัยยังเสพติดเนื้อสัตว์อีกแล้ว ความสุขจากการเสพมันหายไปจนรู้สึกได้ว่ามันไม่มีอะไรเลย เป็นรสสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง มีรสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เผ็ด ที่เป็นไปตามการปรุงแต่งธรรมดาของอาหาร กลับกลายเป็นว่าเมื่อไม่กินจะมีความสุขมากกว่า ยินดีที่จะสละเนื้อสัตว์ สละการเบียดเบียนออกไปจะดีกว่าที่ต้องไปกิน เมื่อนั้นแหละ ที่เราได้รางวัลมาแล้ว คือความสุขที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจเมื่อได้เสพหรือไม่ได้เสพอีกต่อไป เป็นอิสระจากความอยากกินเนื้อสัตว์ อย่างแท้จริง
และเราก็สามารถที่จะมองสัตว์เหล่านั้นได้อย่างเต็มตา แม้ว่าจะต้องเห็นภาพพวกมันถูกทรมาน หรือถูกฆ่า ก็ไม่ต้องแบกความรู้สึกละอายต่อบาป เพราะเราเลิกเบียดเบียน ไม่มีส่วนแห่งบาปนั้นอีกต่อไป
จะเห็นได้ว่าการกินมังสวิรัติที่เบียดเบียนน้อยที่สุดนั้นทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินความพยายามของเรา…
Veggie Kitchen concept
เกี่ยวกับเนื้อหาของบล็อกนี้…
ตอนแรกก็คิดไปว่า ขอบเขตเนื้อหาของบล็อกนี้ จะกว้างไกลขนาดไหนนะ เพราะถ้ามังสวิรัติ ก็กินขนมได้สิ คิดไปคิดมา ขนมก็ไม่เป็นไร เอามารวมด้วยก็ได้ แต่ก็คงจะมีขอบเขตอยู่โดยใช้หลักของการรักษาสุขภาพเข้ามาเป็นเนื้อหาร่วมด้วย ขนม ของกินเล่นอะไรที่มันไม่ค่อยได้ประโยชน์ก็คงจะไม่เอามาลง
อาหารมังสวิรัติที่คิดว่าจะลงเป็นบทความส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นอาหารที่ทำเองนั่นแหละนะ เพราะช่วงหลังๆ (6-8 เดือน) ที่ผ่านมาจะทำอาหารเองบ่อยขึ้น และทั้งหมดที่ทำก็เป็นอาหารมังสวิรัติ เรียกได้ว่า ทั้งได้กิน ทั้งได้เอามาพิมพ์ เยอะไปหมด…
การออกแบบ…
ก็คงใช้การ์ตูนเหมือนเคย แต่ก่อนก็ใช้ไดโนเสาร์ แต่ดูไปดูมามันก็ไปเหมือนงานคนอื่น งานนี้ก็เลยหาตัวละครมาใส่ สุดท้ายก็คิดได้ว่าเอาหมูเด็ก กับหมีบ้า มาใช้ก็คงจะดีเหมือนกัน ภาพแรกที่คิดก็เป็นหมูเด็กใส่ผ้ากันเปื้อน ก็เหมาะดีเหมือนกัน หมูกับเรื่องอาหารการกิน
โทนสีก็คงจะเป็น เหลือง – ส้ม ร้อนๆหน่อย ดูๆแล้วอันเดิมทำสีจืดไป อาจจะเพราะชอบสีบางๆ สบายๆ ก็ได้ แต่ในบล็อกนี้จะลองให้สีสด และจัดขึ้นบ้างพอสดใส แต่ก็ต้องให้สบายตาคนอ่านไว้บ้างเหมือนกันนะ
ก็ลองดูกันไปอีกที …สวัสดี
สวัสดี ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Veggie kitchen
ห่างหายกับการเขียนบล็อกมาก็นาน มาถึงตอนนี้ก็มีบล็อกใหม่อีกแล้ว (อันเก่ายังไม่อัพเดทเลย) สำหรับในบล็อกนี้ก็เกิดจากวิถีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้ก็เปลี่ยนมากินมังสวิรัติแล้ว
ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาบล็อก Food & Drink มาโละปรับปรุง แต่การไปแก้ใหม่นั้น ดูจะยากกว่าสร้างใหม่ก็เลยสร้างกันใหม่มาเลยแล้วกัน ง่ายกว่าเยอะ สรุปกันง่ายๆว่าคงจะไม่ได้พิมพ์ในบล็อกเดิมแล้ว คงจะมาอัพเดทในบล็อกนี้กันต่อเลย อันเดิมก็ทิ้งไว้อย่างนั้นไป
ซึ่งในบล็อก Veggie Kitchen นี้ก็จะเสนอ ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติ เมนู ความรู้ อะไรที่พอจะเจอหรือหาได้ก็จะนำมาพิมพ์แบ่งให้อ่านกัน ก็ติดตามกันไปนะครับ
สวัสดี
ึความคิดเห็นล่าสุด