Tag: ดำรงชีวิต
กินมังสวิรัติ กลัวขาดสารอาหาร
กินมังสวิรัติ กลัวขาดสารอาหาร
หลายคนที่คิดจะมาลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ หรือกินเจ มักจะมีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของสารอาหารที่อาจจะขาดไปหากไม่ได้กินเนื้อสัตว์ เป็นความกังวลที่ทำให้ไม่มั่นใจในคุณค่าของการลดการเบียนเบียด ทำให้ลังเลสงสัย ซึ่งอาจจะกลายมาเป็นเหตุแห่งความกลัวที่กินมังสวิรัติอย่างจริงจัง
ความคลาดเคลื่อนของสารอาหารในหนึ่งจาน….
สารอาหารที่เราได้รับในแต่ละวันนั้น มีการคำนวณออกมาว่าต้องได้รับประมาณวันละเท่าไหร่ อาหารจานหนึ่งให้พลังงานเท่าไหร่ มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้เป็นความรู้ที่อาจจะทำให้เราติดอยู่ในกับดักแห่งความกังวล
อาหารที่เรากินจานหนึ่งนั้น เขาคำนวณพลังงานมาจากปริมาณ แต่การที่เราจะได้พลังงานจากอาหารจานนั้นจริงๆ ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการย่อยและการดูดซึมของร่างกายเรา ไม่ใช่ว่าเรากินอาหารที่เขาว่ามี 100 กิโลแคลอรี่ แล้วมันจะได้ทั้ง 100 กิโลแคลอรี่
แต่การได้มาซึ่งพลังงานเหล่านั้น ต้องผ่านตั้งแต่ปากของเรา เราเคี้ยวมันละเอียดไหม ถ้าเคี้ยวไม่ละเอียดก็ต้องไปเป็นภาระของกระเพาะอาหารต่อ ถ้ากระเพาะย่อยไม่ไหวก็ส่งต่อไปที่ลำไส้ทั้งก้อนแบบนั้น แล้วอาหารที่ย่อยไม่สมบูรณ์ คิดหรือว่าจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากจะย่อยไม่เต็มที่แล้ว ยังเหลือกากอาหารที่เป็นชิ้นใหญ่ ส่งต่อไปสะสมเน่าในลำไส้ใหญ่อีก ทีนี้พอเริ่มเน่าก็เริ่มสร้างก๊าซ สร้างพิษ สร้างเชื้อโรคภายในร่างกายของเรานี่แหละ บางครั้งเราอาจจะเคยมีภาวะที่ขับถ่ายไม่ออกหลายวัน แล้วมีอาการครั่นเนื้อตัว ไม่สบายตัว ร้อน เป็นสิว ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความเป็นพิษในของเสียที่ย่อยไม่ดี ทำให้เหลือเศษชิ้นเนื้อในกากอาหารเยอะจนหมักหมมกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย เป็นพิษในที่สุด
แทนที่ร่างกายจะเอาพลังงานที่ได้จากการกินอาหารในมื้อนั้นมาสร้างพลังงาน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้เต็มที่ แต่กลับต้องเอาพลังงานไปย่อยมากขึ้น เอาพลังงานไปขับพิษมากขึ้น สรุปแล้ว อาหารที่เรากินไป 100% นั้นนอกจากจะไม่ได้คุณค่า 100% แล้วยังต้องเอาคุณค่าที่ได้ส่วนหนึ่งไปยับยั้งผลเสียของอาหารที่เกิดจากการกินที่ไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะขาดสารอาหาร เพราะทุกวันนี้เราก็ไม่ได้ใช้สารอาหารที่เรากินอย่างเต็มที่กันอยู่แล้ว เรียกได้ว่ากินไป 100% แต่ใช้กันจริงก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกนั้นเสียไปเปล่าๆจากกระบวนการย่อยที่ไม่มีประสิทธิภาพและกระบวนการต่อต้านความเป็นพิษภายในร่างกาย
โปรตีนที่ทดแทน….
ปัญหาที่มากที่สุดในการกินมังสวิรัติคือเรื่องของโปรตีน เรามักจะกังวลว่าจะขาดโปรตีนที่พืชผักไม่มีแต่เนื้อสัตว์มี ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างเราก็สามารถดำรงชีวิตอย่างแข็งแรงได้ มีคนหลายคนในโลกที่มีบทบาทสำคัญในแต่ละยุคสมัยก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ แต่ชีวิตเขาก็ยังสร้างคุณค่าให้กับสังคมและโลกได้
การขาดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ได้หมายความว่าเราจะอ่อนแอ หรือเจ็บป่วยง่าย ในทางกลับกัน ผู้คนที่มากินโปรตีนจาก เต้าหู้ ถั่ว ธัญพืช กลับพบว่าสุขภาพของตนดีขึ้น แข็งแรงขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง
เราอาจจะถูกกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์หลอกเราอยู่ก็ได้ ว่าเนื้อสัตว์ดี เนื้อสัตว์มีประโยชน์ กินเนื้อสัตว์แล้วฉลาด ซึ่งขัดกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น ดังนั้น เราจะเชื่อใครก็ลองพิจารณาใคร่ครวญกันให้ดีๆ
ความหิวที่มาเยือน และแรงที่หายไป….
คนที่หันมาลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจ นั้นอาจจะเจอกับปัญหาเรื่องของพลังงานและความหิว ในส่วนของความหิวหรือการหลั่งน้ำย่อย ส่วนใหญ่เป็นสภาวะที่ร่างกายของเราจำได้ว่าเวลานั้นเวลานี้ควรหลั่งน้ำย่อยออกมา แต่ก่อนเราเคยกินเนื้อ เขาก็หลั่งน้ำย่อยมาให้พอย่อยเนื้อ แต่พอเราหันมากินผัก ร่างกายจะไม่สามารถปรับตัวตามเราได้ทันที เขาจะยังหลั่งน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่ย่อยเนื้อเหมือนเดิม แต่ถ้าผ่านไปสักระยะหนึ่ง ร่างกายจะปรับตัวให้หลั่งน้ำย่อยให้พอดีกับอาหารที่เป็นผักที่เรากินเอง
ดังนั้นเมื่อเราอดทน บังคับจิตใจไม่ให้กินจุบจิบ กินแต่ในมื้อ ไม่กินนอกมื้อ จะทำให้ร่างกายของเราปรับตัวได้รวดเร็วขึ้น เพราะเราบังคับร่างกายไม่ได้ บังคับไม่ให้มันหลั่งหรือไม่หลั่งน้ำย่อยไม่ได้ แต่เราสามารถบังคับจิตใจของเราไม่ให้ไปกินได้ แม้น้ำย่อยจะหลั่งออกมา แต่ถ้าไม่ได้ถูกใช้ย่อยอะไร เขาก็จะมีกระบวนการดึงกลับของเขาเอง บางครั้งเราอาจจะเคยพบเหตุการณ์ในลักษณะที่ว่า หิวจนไม่หิวแล้ว นั่นคือร่างกายเขาดึงน้ำย่อยกลับไปแล้วนั่นเอง
สำหรับคนที่รู้สึกว่าลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจ แล้วไม่มีแรง กินแล้วไม่อยู่ท้อง ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการเคี้ยวไม่ละเอียดทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยและดึงคุณค่าไปใช้ได้อย่างเต็มที่ และอาจจะเพราะเราขาดโปรตีนจากถั่วและธัญพืช ถ้าเราทำอาหารเอง เราก็อาจจะใช้ถั่วต้ม เป็นเมนูปิดท้าย โดยใช้ถั่วที่หาได้ง่าย เช่นถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ฯลฯ ก็จะสามารถทำให้อยู่ท้อง ไม่หิวง่าย และมีกำลังในการทำงานได้เหมือนคนปกติ
พยายามหลีกเลี่ยงถั่วทอด หรือถั่วที่ปรุงรสจัด เพราะบางครั้งเราอาจจะได้สารอาหารส่วนเกินที่ไม่จำเป็นเช่น ไขมัน เครื่องปรุงรสที่เป็นส่วนเกิน ทำให้ร่างกายต้องเสียพลังงานส่วนหนึ่งในการขับออก แทนที่จะได้พลังงาน กลับกลายเป็นเสียพลังงานแทนก็ได้
มังเขี่ย
การใช้ชีวิตมังสวิรัติในสังคมปัจจุบันนั้น เราอาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการกินมังสวิรัติสักเท่าไรนัก คงมีหลายครั้งที่เราต้องเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ที่ไม่ได้กินมังสวิรัติ จะทำอย่างไรให้เรากินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจ
มังเขี่ย คือกลยุทธ์หนึ่งในการกินมังสวิรัติ เมื่อเราต้องกินอาหารร่วมโต๊ะกับผู้คนที่หลากหลาย ก็ย่อมมีอาหารที่หลากหลายตามไปด้วยมีทั้งเนื้อสัตว์ทั้งผักปนเปกันไป เมื่อเห็นเช่นนั้น เราจึงใช้การกินมังสวิรัติแบบเขี่ย คือเขี่ยเอาเนื้อสัตว์ออกไป และเขี่ยผักเข้ามา เมื่อเรามีจิตใจที่ตั้งมั่นในการกินมังสวิรัติ เราย่อมไม่หวั่นไหวต่อเนื้อสัตว์ที่อยู่ตรงหน้า ยินดีที่จะละเว้นเนื้อสัตว์และพยายามเอาตัวรอดโดยการกินแต่ผัก
และแม้ว่าอาหารที่เราสั่งนั้นจะมีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบร่วม เราก็สามารถเขี่ยเนื้อออกไป โดยยกให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่ยังกินเนื้ออยู่ หรือจะเลือกละเว้นไว้ก็ได้ ถ้าให้ดีที่สุดก็เลือกที่จะสั่งอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และถึงแม้เราว่าจะไม่กินเนื้อเหล่านั้น สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นอาหารของใครสักคนแน่ๆ ถึงไม่ใช่ใครสักคนก็อาจจะเป็นสัตว์สักตัว หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารจุลินทรีย์ไป ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังยินดี ที่เราจะไม่ไปเสพผลของการเบียดเบียน ซึ่งจะกลับกลายมาเป็นวิบากกรรมของเราเองในวันใดวันหนึ่ง
มังเขี่ย ในอีกนัยหนึ่ง คือการเขี่ยเนื้อออกไปจากชีวิต และเขี่ยผักเข้ามาในชีวิต เราเลิกที่จะต้อนรับเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ไปโดยลำดับ เริ่มเรียนรู้การทดแทนอาหารต่างๆด้วยพืชผัก จนกระทั่งเราสามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยพืชผักได้อย่างลงตัว มีความสุขกาย เบากาย มีกำลัง มีความยินดีในการลด ละ เลิกเนื้อสัตว์และการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นโดยไม่มีความโหยหา คิดถึง ในเนื้อสัตว์ที่เคยยึดติดอีกต่อไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มังเขี่ยนั้นไม่ได้ทำได้ง่ายอย่างใจคิด ทุกครั้งที่เราจะเขี่ยเนื้อออกไป เขี่ยผักเข้ามา เราต้องสู้กับกิเลสที่เราผูกมานานแสนนาน เรากินเนื้อสัตว์มาทั้งชีวิต โตขึ้นมาก็เพราะกินเนื้อสัตว์ ความทรงจำในชีวิตมีแต่เนื้อสัตว์ หิวทีไรก็นึกถึงแต่เนื้อสัตว์ ดังนั้นในทุกๆคำที่เราจะเขี่ยผักเข้ามาแทนที่เนื้อ เราต้องสู้กับกิเลสของเราอย่างแน่นอน จะแพ้บ้าง ชนะบ้าง ก็ไม่เป็นไร ให้เราตั้งใจพิจารณาโทษของการกินเนื้อ ความทุกข์ โรค ภัยที่เกิดกับร่างกายของเรา กรรมชั่วที่เราจะได้รับจากการมีส่วนเบียดเบียนในชีวิตอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเราเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าการกินมังสวิรัตินี่แหละดีที่สุด วันนั้นเราจึงจะสามารถกินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องโหยหาเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์อีกต่อไป
คนที่กินมังสวิรัติหลายๆคน ต่างก็เคยเป็นคนที่กินเนื้อสัตว์ เคยเสพติดความอร่อยจากเนื้อสัตว์ ชีวิตประจำวันมีแต่อาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ แต่ทำไมวันนี้พวกเขาเหล่านั้นกลับเลือกที่จะเขี่ยเนื้อสัตว์ออกจากชีวิต และหันมาเขี่ยผักเข้าปากแทน มันน่าสนใจไหม ว่าทำไมเขาถึงยอมทิ้งสิ่งที่เคยคิดว่าดี คิดว่าสุขเหล่านั้น หรือเป็นเพราะว่า พวกเขาเจอสิ่งที่ดีกว่า?
ึความคิดเห็นล่าสุด