Tag: อาหารมังสวิรัติ
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กน้ำ
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กน้ำ : ชามนี้ 20 บาท หน้าตาน่ากินเหมือนกับก๋วยเตี๋ยวบ้านๆทั่วไป
หลายคนอยู่ในแหล่งที่มีอาหารมังสวิรัติขายนี่ก็กินง่ายอยู่สบายเลย ไม่ต้องลำบากหาเมนูหลีกเลี่ยง
แต่นั่นก็ต้องระวังนะ การกินมังสวิรัติได้หรือชอบกินมังสวิรัติ ไม่ได้หมายความว่า ความอยากกินเนื้อจะหายไป บางคนกินมังฯนานๆหลงว่าตัวเองไม่มีความอยาก อันนี้ต้องระวัง กินมังฯได้กับไม่มีกิเลสในความอยากกินเนื้อสัตว์มันต่างกันมากๆ
ปอเปี๊ยะสดเจ
ปอเปี๊ยะสดเจ : ซื้อเขากินที่ชมรมมังสวิรัต
รสชาติก็อร่อยเหมือนทั่วไป ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยกเว้นใครที่ติดในรสเนื้อสั
Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา
Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา
จนถึงตอนนี้ก็ครบ 1 เดือนกันแล้วกับ Veggie Kitchen ในเฟสบุค ในตอนแรกนั้นก็ไม่ได้คิดจะตั้งเพจนี้ขึ้นมา เริ่มมาจากลงรูปเมนูอาหารมังสวิรัติในหน้าของตัวเองก่อน ทำไปทำมามันก็เริ่มจะเยอะ และเริ่มคิดได้ว่ามันน่าจะเอามาทำประโยชน์อะไรได้มากกว่าแค่โชว์รูปอาหารมังสวิรัติที่ทำเอง รวมกับมีงานออกแบบส่วนหนึ่งที่เคยทำค้างคาไว้อยู่แล้ว เลยผสมทุกอย่างออกมาลงตัว เป็นอย่างที่เห็นนี่เอง
Veggie Kitchen เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้เริ่มต้นเรียนรู้และหัดกินมังสวิรัติ หัดลดเนื้อกินผัก แสวงหาข้อมูลทางเลือกในการพึ่งตนเองเพื่อจะได้มาซึ่งอาหารมังสวิรัติ และหาวิธีปรับตัวเมื่อต้องกินมังสวิรัติกับสังคมเดิม
- ผู้ที่กินมังสวิรัติมาสักระยะหนึ่งแต่ยังตกหล่น พร่องอยู่เป็นประจำ ที่บ้านที่ทำงานก็กินได้ แต่พอไปในสถานที่ไม่คุ้น เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย ก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ทุกที
- ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ยังมีความทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นกินเนื้อสัตว์ เห็นเขาฆ่าสัตว์ เห็นเขาทรมานสัตว์ ยังไม่สามารถปล่อยวางความยึดดี ถือดีได้
- ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างปกติ และอยู่กับสังคมที่กินเนื้อสัตว์ได้อย่างมีความสุข สามารถเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการออกจากนรกของการเสพติดเนื้อสัตว์และการยึดดีให้กับเพื่อนๆ
วัตถุประสงค์ของ Veggie Kitchen
- เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติ ได้มีทางเลือกที่มากกว่าการทำอาหารเอง หรือหาซื้ออาหารจากร้านมังสวิรัติ
- เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติได้เห็นความหลากหลายในวิธีการหากินอาหารมังสวิรัติ
- เพื่อลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นด้วยการเสพ เช่น การกินเนื้อสัตว์ การไปแย่งชิงของรักของสัตว์อื่น
- เพื่อลดการเบียดเบียนตัวเอง โดยการทรมานตัวเองด้วยความยึดดี ถือดี เสพดี ทำให้อึดอัดจนเกิดความทุกข์
- เพื่อการกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนและมีความสุขจากการไม่เสพเนื้อสัตว์และไม่ยึดดีถือดี
- เพื่อสุขภาพที่ดี เพราะการไม่เบียดเบียน ทำให้มีอายุยืน และมีโรคน้อย
- เพื่อลดความอยากในการกิน คือ กิเลส อันเป็นรากเหง้าแห่งปัญหาทั้งปวง
- เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดการ ร่วมเรียนรู้ วิธีปฏิบัติ แบ่งปันประสบการณ์ในการกินมังสวิรัติ
วิถีทางปฏิบัติสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนของ Veggie Kitchen
วิธีที่เราจะใช้เป็นหลักในการกินมังสวิรัติ คือ การ ลด ละ เลิก การบริโภคเนื้อสัตว์ให้เหมาะสมกับพื้นฐานของแต่ละบุคคล ติดมากก็ให้ลดบ้าง ติดปานกลางก็ให้ละบ้าง ติดน้อยก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย และเรายังใช้การ ลดละเลิก ในลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นและตนเองในส่วนอื่นๆของการกินและการใช้อีกด้วย
วิธีสั่งอาหารมังสวิรัติ ตามร้านอาหารทั่วไป
วิธีสั่งอาหารมังสวิรัติ ตามร้านอาหารทั่วไป
กรณีร้านข้าวแกง ร้านอาหารตามสั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว และร้านอื่นๆในศูนย์อาหารทั่วไป
สำหรับคนที่หัดกิน หรือหาทางกินมังสวิรัติในช่วงเริ่มต้น อาจจะลำบากสักนิดในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อม ถ้าโชคดีก็อาจจะมีแหล่งหรือร้าน ขายอาหารมังสวิรัติ-เจ ใกล้ๆที่อยู่ ที่ทำงาน ก็สามารถที่จะดำรงชีวิตมังสวิรัติได้ไม่ยากไม่ลำบาก
ในความเป็นจริงแล้ว ร้านอาหารมังสวิรัตินั้นไม่ได้มีมากนัก อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับความสะดวก ที่เอื้อให้ตัวเองได้กินมังสวิรัติง่ายๆ และยังมีข้อจำกัดหลายๆอย่างในการทำอาหารเอง ซึ่งในบทความเนื้อเราจะมาแบ่งปันเกี่ยวกับการหาทางลดเนื้อกินผักให้ได้ แม้ในสภาวะที่มีตัวเลือกน้อย
ร้านอาหารที่เรามักจะพบได้บ่อยคือร้านข้าวแกง ร้านอาหารตามสั่ง หรือไม่ก็ร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งถ้าเราสั่งอาหารแบบปกติก็คงจะไม่มีอะไร แต่เรากำลังจะสั่งอาหารที่แปลก ซึ่งอาจจะทำให้พ่อค้าแม่ค้าที่ไม่คุ้นเคยรู้สึกลำบากใจ ดังนั้นความนอบน้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เราควรใช้ การวอนขอ , ขอร้อง, ขอความกรุณา ให้เขาช่วยทำให้เรา
เช่น ร้านข้าวแกง เราอาจจะบอกเขาประมาณว่า “ จะสะดวกไหมถ้าจะช่วยตักแต่ผักให้ ” , “อยากได้แค่ผัก พอจะตักให้ได้ไหม ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ” ตัวอย่างที่เคยใช้จริงกับแกงมัสมั่น ในศูนย์อาหารแห่งหนึ่ง คือ “แกงมัสมั่นนี่ถ้าจะเอาแต่มันฝรั่ง พอจะขายให้ได้หรือไม่ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ “ สุดท้ายเขาก็ตักมาให้ด้วยความยินดี
ร้านอาหารตามสั่ง เช่น “เอากะเพราใส่เห็ดนะ ใส่แต่เห็ดกับใบกะเพราหรือผัก*อื่นๆ* พอจะทำให้ได้ไหม” จากที่เคยพบมา อาจจะเจอปัญหาเรื่องวัตถุดิบ ตรงนี้เราต้องมีตัวเลือกสำรองไว้เสนอให้เขาทำให้ เช่น ถ้าเห็ดหมด เราก็ถามว่า “ถ้าเป็นกะเพราดอกกะหล่ำ พอจะได้ไหม” เป็นต้น
ร้านก๋วยเตี๋ยว เราก็อาจจะบอกเขาว่า “ เอาแค่เส้นกับผัก พอจะได้ไหม ใส่แค่เส้นกับผักนั่นแหละ “ เคยเจอกรณีเขากังวลว่าจะคิดเงินไม่ถูก เราก็บอกเขาว่า “ ใส่แค่เส้นกับผักนั่นแหละ คิดเงินตามปกติก็ได้นะ” ส่วนใหญ่ร้านก๋วยเตี๋ยวจะสื่อสารไม่ค่อยยากเท่าไรนัก
ในส่วนของร้านอาหารอื่นๆ เช่น ร้านราดหน้า ร้านส้มตำ ฯลฯ ให้ทำในแนวทางเดียวกัน คือ ให้เราลอง โยนหินถามทาง ดูก่อนว่า เขาพอจะสะดวกทำให้เราหรือไม่ เขาสบายใจที่จะทำให้เราหรือไม่ เขายินดีที่จะทำให้เราหรือไม่ โดยให้เราแสดงท่าทีที่นอบน้อมให้มากที่สุด เพราะเราเองเป็นคนที่ทำให้เขาลำบาก ผิดไปจากกระบวนการที่เขาเคยทำ เป็นการรบกวนเขา ดังนั้นความนอบน้อมจึงเป็นคุณสมบัติที่ชาวมังสวิรัติควรจะมีหรือพัฒนาให้มากขึ้น หากจะต้องการลดเนื้อกินผักในสังคม สิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
จะสังเกตได้ว่า เราจะไม่ไปใช้การ “สั่ง” บังคับ หรือการกดดันใดๆ กับพ่อค้าแม่ค้า เราเพียงแค่ไปขอความเห็นใจ ให้เขาช่วยให้เราได้กินมังสวิรัติหรือลดเนื้อกินผักให้ได้มากที่สุดตามความเหมาะสม เขาจะยินดีทำหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ถ้าเขายินดีเราก็ได้กิน ถ้าเขาไม่ยินดี เราก็ไปกินร้านอื่น หรือถ้าไม่มีทางเลือกอื่นเลย ก็ให้เขาทำเท่าที่เขาสะดวก เราก็กินแบบ “มังเขี่ย” ของเราไป หรือถ้ามีวิธีที่ดีกว่านั้นก็ทำไป
ชาวมังสวิรัติควรจะทำให้พ่อค้าแม่ค้ามีความรู้สึกที่ดีกับผู้ที่กินมังสวิรัติ หากเราไปสั่งทุกอย่างตามใจเรา เช่น น้ำมันหอยไม่ใส่ น้ำปลาไปไม่ใส่ ใส่เกลือแทน กระเทียมไม่ใส่ ปรุงรสอ่อนๆ ไอ้นั้น ไอ้นี่ เยอะไปหมดตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน โดยที่พ่อค้าแม่ค้าไม่ยินดีทำ เราอาจจะได้กินมังสวิรัติหนึ่งมื้อ รักษาความสมบูรณ์ของศีลไปได้อีกวัน แต่อาจจะสร้างคนที่เกลียดคนกินมังสวิรัติเพิ่มขึ้นมาแทนก็ได้
นั่นหมายความว่าแทนที่จะสร้างคนที่กินมังสวิรัติมาช่วยลดเนื้อกินผัก กลับสร้างศัตรูหรือผู้เสื่อมศรัทธาในนิสัยเรื่องมาก ยุ่งยากของคนกินมังสวิรัติ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะขายอาหารแลกเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปสั่งให้เขาทำทุกอย่างตามใจเราได้เสมอไป ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมองว่าการกินมังสวิรัติเป็นเรื่องที่ดีเสมอไป ไม่จำเป็นด้วยว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องเห็นดีเห็นด้วยตามเรา การกินมังสวิรัติไม่ได้หมายความว่าเราจะดูเป็นคนดี น่าเคารพ น่าช่วยเหลือขนาดนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับความร่วมมือทุกอย่าง การปฏิบัติตัวให้ดี เพื่อให้เขามีทัศนคติที่ดีต่อคนที่กินมังสวิรัติทั้งหมด เป็นเรื่องที่สมควรทำ
เราต้องทำความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า การกินมังสวิรัติคนเดียวได้อย่างสมบูรณ์นั้น แม้จะสมบูรณ์แบบเพียงใดก็อาจจะไม่ได้มีผลต่อการเบียดเบียนองค์รวมเลย แต่การที่จะสร้างคนที่หัดกินมังสวิรัติเพิ่มขึ้นมาทีละคนต่างหากที่จะช่วยลดการเบียดเบียนเหล่านั้นได้ หากเราเป็นผู้นอบน้อม ถือศีลกินมังฯ อย่างเคร่งครัด และพร้อมจะปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยไม่ให้เสียประโยชน์ตนเอง (คือ ยังสามารถกินลดเนื้อสัตว์กินผักได้ทุกสถานการณ์) และ ยังสามารถรักษาใจคนอื่นไว้ได้ด้วย (คือ คนรอบข้าง ผู้ร่วมโต๊ะ พ่อครัวแม่ครัว ฯลฯ ไม่ลำบากใจที่ต้องกินร่วมกับเรา หรือทำอาหารให้เรา) วันหนึ่งก็จะมีคนศรัทธาตามที่เราปฏิบัติ จนนำมาสู่ความสนใจในการกินมังสวิรัติของเขาเหล่านั้นด้วย
อาหารมังสวิรัติ ไม่อร่อย?
การเริ่มต้นกินมังสวิรัติ ผู้ทดลองกินหลายคนก็คงจะได้สัมผัสกับความแตกต่าง ที่ต่างไปจากตอนที่ยังกินเมนูอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมอยู่ ไม่มากก็น้อย
ถ้าให้คนทั่วไปเลือกว่าจะกินเนื้อหรือผักในราคาที่จ่ายตามจริง หลายคนก็ยังคงจะเลือกที่จะกินเนื้อ แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่า แต่เขาก็ยินดีที่จะแลกกับความอร่อยที่จะได้รับ คงจะมีส่วนน้อยที่จะเลือกกินผักเป็นหลัก หรือคนที่เลือกกินเนื้อสัตว์นั่นเขาอาจจะเข้าใจว่า อาหารมังสวิรัติ ไม่อร่อย? (เท่าเนื้อ)ก็เป็นได้
จากที่สังเกตจากตัวเองมาพบว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้ติดในรสชาติของเนื้อสัตว์ แต่เราติดในรสชาติของการปรุงอาหาร เช่น เมื่อสมัยที่ยังกินเนื้อสัตว์ ชอบไปสั่งอาหาร ที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย “กะเพราหมูกรอบไข่ดาว” แต่พอหันมากินมังสวิรัติก็เปลี่ยนเป็น “กะเพราเห็ดดอกกะหล่ำ” รสชาติยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เพียงแค่รสสัมผัสบางอย่างหายไป เช่นความกรอบ ความหนาของวัตถุดิบที่เคี้ยว (กินผักเคี้ยวง่ายกว่าเนื้อสัตว์อยู่แล้ว)
ก็เลยเข้าใจว่าจริงๆแล้วเราสามารถแทนที่วัตถุดิบได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรสชาติ จะทำให้เราหันมากินมังสวิรัติได้ง่ายขึ้น โดยสามารถก้าวข้ามความรู้สึกว่า อาหารมังสวิรัติไม่อร่อยไปได้ง่าย เพราะจริงๆแล้วความอร่อยไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์แต่มาจากการปรุงรส และจริงยิ่งกว่านั้นคือความอร่อยมาจากกิเลสของเราเองต่างหาก
การเริ่มต้นกินอาหารมังสวิรัติที่ร้านอาหารที่ขายมังสวิรัติหรือเจ โดยตรง อาจจะทำให้รู้สึกแปลกใจในรสชาติ และรสสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย (แต่จริงๆแล้วร้านอาหารมังสวิรัติ&เจ เขาก็ทำอาหารอร่อยนะ) เราอาจจะเริ่มลองเปลี่ยนจากเมนูในชีวิตประจำวันให้มีผักมากขึ้น แทนที่เนื้อด้วยผักมากขึ้น โดยให้คงรสชาติอาหารให้เหมือนเดิม ให้ตัวเราเองค่อยๆปรับตัวเรียนรู้กับอาหารมังสวิรัติไปอย่างช้าๆ จะดีกว่าหักดิบเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเพียงความคิดแค่ว่าคนอื่นทำได้เราก็ทำได้ เพราะเพียงแค่ “คิด” ว่าจะกินได้นั้น ยังมีพลังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง บางครั้งอาจจะยากเกินไปที่เราจะทำได้ ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าเราติดยึดเนื้อสัตว์มาก จะเลิกในวันสองวันคงทำไม่ได้ มันจะทรมานร่างกายและจิตใจเกินไป ส่วนผู้ที่สามารถปรับมากินมังสวิรัติได้ตามที่ใจคิดก็ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านจัดอยู่ในหมวดคนมีบุญ
แต่…ฉันยังอยากมีความสุขกับการกินเนื้ออยู่…. เคยได้ยินประโยคนี้มา ยอมรับเลยว่าเป็นคำพูดที่จริงใจมาก การยอมรับว่าตัวเองอยากเสพหรือติดอะไร จะเป็นกุญแจที่ไขสู่การแก้ปัญหาได้ง่ายมากกว่าการ ปิดบัง สร้างภาพ วางฟอร์ม ฯลฯ
ต้องยอมรับจริงๆเลยว่าสมัยก่อนก็เคยมีความสุขกับการกินเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเราได้สุขที่เหนือกว่า เรามีสิ่งใหม่ที่ดีกว่า เราเลยยอมทิ้งสิ่งเก่าที่ดูเหมือนว่าจะดี ที่มันหลอกเรามาทั้งชีวิตว่าดี
เราใช้ชีวิตผิดๆมา จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมาบอกว่าการกินมังสวิรัตินั้นดี ด้วยความที่เราพิจารณาตามเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อกันและกัน เราก็ว่าดี เลยทดลองปฏิบัติตามดู จนวันหนึ่งได้พบกับ “ ความสุขที่มากกว่า” คือความสุขที่ปราศจากความอยาก การเบียดเบียนใดๆ เป็นสุขที่มากกว่าเสพ ให้เอาเนื้อสัตว์กิโลกรัมและแสนบาท ล้านบาท หรือมากกว่านั้น มาแลกก็ไม่ยอมเสียไป
มีคนมากมายถามว่า ไม่อยากกินเนื้อสัตว์แล้วหรือ? เห็นแล้วอยากกินไหม? มันโหยหาไหม? เราก็สามารถตอบไปได้เต็มปากเลยว่ามันไม่มีความอยากเหลือเลย เคยไปกินเลี้ยงอยู่ครั้งหนึ่งเขาเลี้ยงสเต็กกัน เราก็สั่งขนมปัง มันฝรั่ง ซุปข้าวโพด สลัดผัก มากินได้อย่างมีความสุข แม้ว่าจะมีเนื้อสเต็กชั้นดีวางตรงหน้า หั่นไว้ให้พร้อมจิ้มเข้าปาก แต่เราก็ยินดีที่จะไม่กินมันอย่างมีความสุข
ในความจริงประโยค “ฉันยังอยากมีความสุขกับการกินเนื้ออยู่….” ผู้กล่าวขึ้นมา ก็ได้แสดงความทุกข์ออกมาอยู่แล้ว นั่นคือถ้าไม่ได้กินเนื้อจะทุกข์ การลำบากไปหาเนื้อสัตว์กินก็ทุกข์ เพราะต้องไปตามหารสชาติหรือรสสัมผัสที่มากกว่าเดิมเรื่อยๆมาสนองกิเลสที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ทุกครั้งที่กินเนื้อก็จะได้สุขจากเสพเพียงเล็กน้อย แต่กลับได้ความ “อยาก” เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องแสวงหาเนื้อคุณภาพดีที่ถูกปาก ให้ลำบากกายไปหากิน ไปหาเงิน หาเวลาไปกินกันต่อไป
จึงจะเห็นได้ว่ายิ่งเสพ…ยิ่งอยากเสพ ยิ่งอยากเสพมาก…กิเลสก็เพิ่มมาก กิเลสมาก…ก็ทุกข์มาก มีแต่ทุกข์กับทุกข์ทั้งต้นทางและปลายทางเท่านั้นเอง
ในเมื่อทุกข์มันรออยู่ปลายทางแล้วยังจะเดินต่อไปอีกหรือ? ยังทุกข์ไม่พออีกหรือ? และสุดท้ายไม่ว่าจะมีเงิน ทอง ทรัพย์สิน เท่าไร ก็คงไม่สามารถซื้อสุขมาเติม ตามที่กิเลสต้องการจะเสพให้เต็มได้
มังสวิรัติ ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป
การเริ่มต้นคิดจะลองกินมังสวิรัติสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะมีร้านอาหารที่ขายอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจอยู่มากมายแต่การที่จะเปลี่ยนมากินมังสวิรัติอย่างจริงจังนั้นไม่ง่าย เพราะการจะพึ่งพาร้านอาหาร หรือสถานที่ที่เราคุ้นเคยนั้นจะทำให้เราไม่ได้เรียนรู้การปรับตัวเมื่อปัจจัยเปลี่ยนแปลง เช่น เมื่อต้องเดินทางออกไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เมื่อต้องทานอาหารร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
จุดประสงค์หรือปลายทางของผู้ที่คิดจะกินมังสวิรัตินั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือต้องการจะลดการเบียดเบียนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป หากเราได้มีการวางแผน ลำดับการเรียนรู้และพัฒนาการกินมังสวิรัติของเราให้ได้สมบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ไปตามลำดับ โดยที่ไม่บีบบังคับให้ตัวเองเกิดความทุกข์ ทรมานจากความโหยหาอยากกินเนื้อสัตว์จนเกินไป และไม่เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เป็นประจำอย่างเดิมเพราะทนความอยากไม่ไหว
ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้การกินมังสวิรัติ เราอาจจะพบปัญหา กินได้ไม่นานก็เลิก, กินตามคนอื่นเขาไปโดยไม่รู้ว่ามันดีอย่างไร, ทนกินไปเพราะคนอื่นเขาว่ามันดูดี, กินไปก็ไม่มีความสุข, กินไปก็ทรมาน เพราะใจจริงก็ยังอยากกินเนื้อสัตว์อยู่ สุดท้ายก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดเลย ถ้าเราพยายามเรียนรู้ที่จะ ลด ละ เลิก ไปตามลำดับที่เราทำไหว โดยตั้งใจที่จะพัฒนาสู่ความเบียดเบียนที่น้อยลงเรื่อยๆ อย่างมีความสุข
…การเริ่มต้นโดยลำดับ ลด ละ เลิก
ลด…. ผู้ที่สนใจหรือต้องการเริ่มต้นกินมังสวิรัติ ควรจะทดลองลดการกินเนื้อสัตว์ดูก่อน ลดในรูปแบบชนิดของสัตว์ ลดจากสัตว์ใหญ่ไปหาสัตว์เล็ก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา อาหารทะเล แมลง ไข่ นมสัตว์ เป็นการลดการฆ่าและการเบียดเบียนไปตามลำดับ และเรายังสามารถลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์ด้วยก็ได้ เช่น การปรับเปลี่ยนเมนูอาหารสู่การลดการใช้เนื้อสัตว์ เปลี่ยนวัตถุดิบจากเนื้อสัตว์กลายเป็นผัก กินอาหารที่ผสมผักในอัตราส่วนที่มากขึ้น เพิ่มผักในแต่ละมื้อให้มากขึ้น ลดการกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลงไป ค่อยๆลดไป จนรู้สึกว่าสามารถทำได้มากกว่า การลด
ละ…. เมื่อมีกำลังใจมากพอ จนรู้สึกว่าสามารถลดการกินเนื้อสัตว์ได้มากแล้ว ให้ลองละเว้นการกินเนื้อสัตว์ เป็นช่วงเวลา เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ในมื้อเย็น, ไม่กินเนื้อสัตว์วันเสาร์อาทิตย์, ไม่กินเนื้อสัตว์สัปดาห์แรกของเดือน, ไม่กินเนื้อสัตว์ในเดือนเกิด, ไม่กินเนื้อสัตว์ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ในการละนี้ อาจจะละเป็นชนิด เช่น ละเนื้อวัวช่วงเวลาหนึ่ง เนื้อวัวหมูไก่ช่วงเวลาหนึ่ง หรืออาจจะละเว้นการเบียดเบียนใดๆก็ตามในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ ละเท่าที่สามารถทำได้ในขีดที่ไม่ทรมานร่างกายและจิตใจตนเองมากเกินไปจนรู้สึกทุกข์ จนเข็ดขยาดกับการกินอาหารมังสวิรัติ โดยให้เพิ่มช่วงเวลาและชนิดของการละเว้นให้มากขึ้น มากขึ้นจนมั่นใจว่าเราละได้อย่างสบายใจ และรู้สึกยินดีที่ได้ละเว้น
เลิก…. เมื่อเราเรียนรู้ที่จะกินมังสวิรัติได้มากพอที่จะมั่นใจว่า สามารถเลิกได้แล้ว อาจจะมีอารมณ์คิดถึง อยากกินอยู่บ้าง เผลอไปกินอยู่บ้าง ทั้งๆที่ใจนั้นไม่ได้อยากกิน หรืออยากเสพรสในเนื้อสัตว์นั้นแล้ว ก็ให้ตั้งใจที่จะเลิก เลิกกินเนื้อสัตว์นั้นๆไปเลย เลิกให้มันออกจากชีวิตไปเลย ไม่มีการอนุโลมว่าจะไปกินในกรณีใดๆ ใครชวนก็ไม่เอา ให้ฟรีก็ไม่เอา พาไปเลี้ยงแถมเงินให้ก็ไม่เอา แม้คนที่เคารพ มีบุญคุณ มีผลประโยชน์ จะหว่านล้อมให้เรากิน เราก็ไม่กิน
ในด่านของการเลิก เรามักจะเจอเหตุการณ์ที่พาให้เราหลงกลับไปกินได้อยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะเรากลัวคนอื่นลำบากใจ กลัวคนนินทา โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องเข้ากลุ่มสังคม หรือแม้กระทั่งในใจลึกๆก็ยังอยากกินอยู่ และเรามักจะใช้เหตุอื่นๆเป็นข้ออ้างในการกลับไปกินเนื้อสัตว์ มีข้ออ้างมากมายทำให้กลับไปกินเนื้อสัตว์ ความคิดที่ว่ากินไปเถอะอย่าคิดมากเลย เริ่มไม่จริงจัง ปล่อยวางก่อนเวลาอันควร กลายเป็นเหยาะแหยะ ครึ่งๆกลางๆ นั่นแหละตัวกิเลส กิเลสคือนักหาเหตุผลที่จะทำให้กลับไปเสพที่เก่งที่สุดในโลก (ของแต่ละคน) ณ จุดที่ตัดสินใจจะเลิก จะต้องเด็ดขาด จริงจัง ยอมถวายชีวิตกันไปเลย ไหนๆ วัว หมู ไก่ ปลา กุ้ง ปลาหมึก ฯลฯ มันก็เคยตายเพื่อ(กิเลส)เรามาเยอะแล้ว ในครั้งนี้เราจะยอมจริงจังเพื่อมันบ้าง
การ ลด ละ เลิก จะไม่สามารถพัฒนาได้เลย หากขาดการเรียนรู้และพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง การหาข้อมูลเกี่ยวกับมังสวิรัติ ความจริงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ทุกครั้งที่เราคิดจะกินหรือไปกินเนื้อสัตว์มาแล้ว ให้พึงระลึกไว้ว่าเราได้มีส่วนสร้างกรรม อันคือความเบียดเบียนให้แก่สัตว์อื่นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะเวียนกลับมาเป็น ทุกข์ โทษ ภัยสู่ตัวเราเอง พิจารณาโทษของการกินเนื้อสัตว์ ความไม่สบายร่างกาย อึดอัดแน่นท้อง ปวดเมื่อย โรคภัยไข้เจ็บ พิษและสารเคมีตกค้าง ความสิ้นเปลือง ฯลฯ โดยให้รู้ว่าความอยากกินเนื้อสัตว์มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เราไปหาอะไรกินให้อิ่มเดี๋ยวมันก็จะลืมไปเอง แท้จริงแล้วความอยากในการกินเนื้อสัตว์มันก็ไม่ใช่สาระอะไรของชีวิตเลย ซ้ำยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เราเกิดความอยาก จนต้องลำบากหาเนื้อสัตว์มากินอีก ทั้งที่จริงก็ได้มีการพิสูจน์กันมากมายแล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรง มีกำลัง เหมือนอย่างคนทั่วไปและที่เหนือกว่าคนทั่วไปก็มี และประโยชน์ในการเปลี่ยนเข้ามาสู่การกินมังสวิรัติ ไม่ว่าจะเป็นความสบายใจ สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ประหยัด บุญและกุศล พยายามหาข้อดี หาประโยชน์ที่ชวนให้เห็นข้อดีตามจริงของการกินมังสวิรัติ หาความรู้กันไปพิจารณาทบทวนกันไปสักวันหนึ่งก็จะเจริญขึ้นเอง
สุดท้าย…. เมื่อเราเลิกได้แล้ว เมื่อเห็นก็รู้สึกว่าไม่อยากกินแล้ว มีโอกาสที่จะได้กิน ก็ยินดีที่จะไม่กินอย่างมีความสุข สบายใจ ไม่โหยหา ไม่เสียดาย ไม่คิดถึง ไม่กังวล ที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์เหล่านั้น แม้จะลองกลับไปทดลองกินก็ไม่ได้เกิดความสุขอย่างที่เคยมีในสมัยยังเสพติดเนื้อสัตว์อีกแล้ว ความสุขจากการเสพมันหายไปจนรู้สึกได้ว่ามันไม่มีอะไรเลย เป็นรสสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง มีรสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เผ็ด ที่เป็นไปตามการปรุงแต่งธรรมดาของอาหาร กลับกลายเป็นว่าเมื่อไม่กินจะมีความสุขมากกว่า ยินดีที่จะสละเนื้อสัตว์ สละการเบียดเบียนออกไปจะดีกว่าที่ต้องไปกิน เมื่อนั้นแหละ ที่เราได้รางวัลมาแล้ว คือความสุขที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจเมื่อได้เสพหรือไม่ได้เสพอีกต่อไป เป็นอิสระจากความอยากกินเนื้อสัตว์ อย่างแท้จริง
และเราก็สามารถที่จะมองสัตว์เหล่านั้นได้อย่างเต็มตา แม้ว่าจะต้องเห็นภาพพวกมันถูกทรมาน หรือถูกฆ่า ก็ไม่ต้องแบกความรู้สึกละอายต่อบาป เพราะเราเลิกเบียดเบียน ไม่มีส่วนแห่งบาปนั้นอีกต่อไป
จะเห็นได้ว่าการกินมังสวิรัติที่เบียดเบียนน้อยที่สุดนั้นทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินความพยายามของเรา…
อาหารมังสวิรัติ หากินยาก?
หนึ่งในปัญหาของผู้ที่หัดลดเนื้อ กินผัก หรืออยากลองกินอาหารมังสวิรัติ มักจะคิดว่าอาหารมังสวิรัตินั้นหากินยาก ต้องทำความลำบากแก่ผู้อื่น มีปัญหากับการเข้ากลุ่มสังคม ฯลฯ
จริงๆแล้วอาหารมังสวิรัตินั้นไม่ได้หากินยากเลย มีอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารตามสั่งต่างๆ เราก็จะสามารถสั่งอาหารที่ “ลดเนื้อ กินผัก” แทนได้ โดยการแทนที่วัตถุดิบ คือ ไม่กินเนื้อแต่ขอผักเพิ่ม เส้นเพิ่ม หรือสั่งผัดกะเพราแต่ใช้วัตถุดิบอื่นเช่น ดอกกะหล่ำ เห็ด ข้าวโพดอ่อนฯลฯ
มีเมนูประจำวันมากมายที่เราสามารถประยุกต์ได้ เช่น ข้าวผัดผัก สุกี้ผัก ผัดผักตามที่ชอบ ฯลฯ เรียกว่าถ้ามีร้านอาหารตามสั่ง ก็หากินอาหารมังสวิรัติได้ทุกวัน แม้ว่าพ่อครัวแม่ครัวจะใช้เครื่องปรุงที่ยังไม่ละเว้นชีวิตสัตว์บ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะเรากินมังสวิรัติด้วยเจตนาที่จะละเว้นเนื้อสัตว์ แล้วเราก็จะลดการกินเนื้อให้อยู่ในขีดที่สบาย เท่าที่สามารถทำได้ พ่อครัวแม่ครัวยินดีทำให้ ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็จะยินดีทำให้ เพราะผักมักจะมีต้นทุนต่ำกว่าในปริมาณของอาหารที่เท่ากัน นั่นหมายความว่าถ้าเรากินมังสวิรัติในราคาเท่าเดิม พ่อค้าแม่ค้ามักจะได้กำไรมากกว่าเดิม แต่ในส่วนหนึ่งจากประสบการณ์ที่เคยเจอมา เขามักจะคิดราคาถูกกว่าปกติ
การเริ่มต้นกินมังสวิรัติในช่วงแรกๆนั้น ควรจะต้องหาความรู้ หาเมนูใหม่กันพอสมควร จะเป็นการค้นหาจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต หรือการพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนก็ได้ เพราะการที่เราค้นคว้าเมนูมังสวิรัตินั้น จะทำให้เราคิดออกว่า วันนี้จะกินอะไร ที่ไหน อย่างไร ซึ่งจะทำให้เราสามารถมองหาอาหารที่ลดเนื้อกินผักได้ง่าย ถ้าเราไม่คิดจะค้นหาเมนูมังสวิรัติ ก็มักจะเจอปัญหาว่า หากินยาก ไม่รู้จะกินอะไร คิดไม่ออก ว่าแล้วก็กลับไปกินเนื้อเหมือนเดิมเพราะความเคยชิน หรือกิเลสนั่นเอง
เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่เป็น โดยไม่ลดประโยชน์ของตัวเอง คือการลดเนื้อสัตว์และหันมากินผักทดแทนให้มากขึ้น หลายท่านอาจจะเจอกับสภาพที่ไม่เกื้อหนุนให้กินมังสวิรัติ แต่ถ้าเรายังมีใจที่จะ ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ เราก็ควรจะแสวงหาช่องทาง วิธีการ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองกินมังสวิรัติได้อย่างเป็นสุข เช่น กินมังสวิรัติในเมื้อเย็น , กินมังสวิรัติในวันพระ , กินมังสวิรัติในวันหยุด เป็นตัวอย่างการละเว้นเป็นมื้อหรือเป็นวัน
ต้องยอมรับว่าการกินมังสวิรัตินั้นจะทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างยากลำบากในช่วงแรกที่มีการปรับตัว จำเป็นต้องใช้ปัญญา และสมาธิอย่างมากในการจะคงสภาพการกินมังสวิรัติให้ต่อเนื่อง เพราะเราใช้ชีวิตทวนกระแสกับสังคม เขากินเนื้อเราไม่กิน เขาไม่ค่อยกินผัก แต่เรากินเป็นหลัก ดังนั้นการยอมรับแต่แรกว่ามันยาก จะทำให้เราทำใจยอมรับความลำบากที่จะเกิดในระหว่างฝึกหัดกินมังสวิรัติได้ หลังจากยอมรับได้ แล้วเราตั้งใจ จนกระทั่งเข้าใจ เรียนรู้วิธีการกินมังสวิรัติในชีวิตประจำวัน เราจะกลายเป็นคนที่กินมังสวิรัติอย่างปกติ ไม่ลำบากใจ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องลำบากหา ไม่ต้องทุกข์เพราะกินมังสวิรัติ ไปที่ไหนก็หากินได้ มีปัญญารู้ว่าเวลาไหนควรจะกินมังสวิรัติ เวลาไหนควรจะละเว้น หรืออนุโลมไว้บ้าง
เราเรียนรู้ ตั้งแต่มีความรู้สึกว่า “อาหารมังสวิรัติหากินยาก” จนกระทั่งวันหนึ่งกลายเป็น “อาหารมังสวิรัติหากินง่าย” กลายเป็นผู้แบ่งปันความรู้ แนวทาง เมนูอาหาร ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างสอดคล้อง ปนแต่ไม่เปื้อน เป็นผู้ไม่เบียดเบียน มีสุขภาพดี มีความสุขใจ
ึความคิดเห็นล่าสุด