อย่าเสียดาย (ภาคปฏิบัติ ณ ร้านก๋วยเตี๋ยว)

อย่าเสียดาย (ภาคปฏิบัติ ณ ร้านก๋วยเตี๋ยว)
อย่างที่เราได้เรียนรู้กันแล้วว่า ความเสียดายนั้น ทำให้เราไม่สามารถที่จะลดเนื้อกินผักได้อย่างราบรื่น เมื่อมีความเสียดายเกิดขึ้น ด้วยเหตุแห่งความอยากนั้น ก็จะทำให้เราวนกลับไปกินเนื้อสัตว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะพยายามหนีออกมาเท่าไหร่ แต่เมื่อใจยังเสียดายชิ้นเนื้อที่อยู่ตรงหน้า ก็ยากจะผ่านแบบทดสอบนี้ไปได้
ในตอนนี้จะขอเล่าไปถึงเรื่องราวของคนที่ใช้ชีวิตในเมืองคนหนึ่ง ในสมัยที่เธอยังหัดกินมังสวิรัติใหม่ๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนเที่ยงวันหนึ่ง ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ด้วยความที่เธอตั้งใจจะลดเนื้อกินผัก แต่ก็ยังไม่ข้ามพ้นด่านของความเกรงใจ จึงกังวลใจไปเองว่า ถ้าสั่งแต่เส้นกับผักทางร้านจะไม่ได้กำไร จึงสั่งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นมา
ในชามก๋วยเตี๋ยวมีลูกชิ้นอยู่ 6 ลูก เธอแบ่งลูกชิ้นให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะ เพราะตั้งใจจะ “ลด” การเสพเนื้อสัตว์ โดยแบ่งออกไปให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่ยังกินเนื้อสัตว์ 4 ลูก จึงเหลือในชามของเธอเอง 2 ลูก
ในขณะนั้นเอง ด้วยเหตุที่เธอได้ศึกษาศาสนาพุทธมาบ้าง ฟังธรรมบ้าง ทบทวนธรรมบ้าง ตรึกตรองใคร่ครวญธรรมบ้าง จึงได้เกิดระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า “ บาปแม้น้อยนิด อย่าทำเสียเลยดีกว่า ” เมื่อนึกได้ดังนั้นแล้ว ใจจึงเกิด หิริ คือความละอายต่อบาป และ โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาปนั้น
เมื่อเกิดความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เวรภัย ของการครองความอยากหรือกิเลสนั้นอยู่ ก็ได้มีความคิดขึ้นว่า แบ่งลูกชิ้นให้เพื่อนหมดเลยเสียดีกว่า ว่าแล้วเธอก็ได้สละลูกชิ้นทั้งหมดให้เพื่อนไป จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาจากฐานของการ ”ลด” มาเป็นฐานของการ “ละ” ซึ่งเกิดได้จากการที่เธอนำเอาธรรมะเข้ามาพิจารณาร่วมในชีวิตประจำวันด้วย จึงทำให้การกินมังสวิรัติพัฒนาและเจริญขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
และเมื่อตกเย็น เธอก็ได้ไปซื้อของที่ตลาดสด ตั้งใจไว้ว่าจะซื้อแค่ถั่วลันเตา แต่พอซื้อแม่ค้าก็แถมเห็ดให้ด้วย เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นถึงอานิสงส์ของการสละลูกชิ้นได้อย่างชัดเจน เมื่อสละกิเลส คือความอยากกินลูกชิ้นนั้นออกจากใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับลูกชิ้นกลับมาเสมอไป อาจจะเป็นเห็ดก็ได้ อาจจะเป็นรอยยิ้มก็ได้ อาจจะเป็นความรู้สึกดีๆก็ได้ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ เพราะผลของกรรมเป็นเรื่องอจินไตยคาดเดาไม่ได้ แต่เรื่องที่รู้ได้แน่ชัดคือ เธอข้ามผ่านด่านของกิเลสไปอีกขั้น เจริญขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อเราข้ามพ้นความเสียดายเนื้อสัตว์เหล่านั้น ก็จะมีสิ่งที่ดีกว่าอยู่ข้างหน้าเสมอ อย่างน้อยๆก็จะไม่ต้องเจอกับความทุกข์ใจที่ต้องแบกความอยาก ความเสียดายเหล่านั้นเอาไว้อีกต่อไป เพียงแค่นั้นก็สุขมากพอที่จะยอมทิ้งความเสียดายเหล่านั้นแล้ว
เกาเหลาผัก

เกาเหลาผัก : ชาวมังฯที่เริ่มหัดกิน เมื่อยังอยู่ในสังคมเดิมๆก็คงจะปรับตัวยาก ปรับตัวลำบาก เช่น เกิดเพื่อนๆเราชวนไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ
ใจเราก็ไม่ค่อยอยากกิน แต่ก็ไม่อยากขัดเพื่อน ทำตัวให้คนอื่นลำบาก ก็เลยไปกินกับเขาด้วย…
เราก็ต้องยอมลดความสมบูรณ์แบบลงมาบ้าง แต่ก็ดีกว่าที่จะต้องไปกินเนื้อเป็นชิ้นๆ เราก็สั่งเกาเหลาผักล้วนมาเลย สั่งอย่างมั่นใจ บอกพ่อค้าว่าเรากินแต่ผัก ถ้ามีน้ำใสให้เลือกจะเลือกน้ำใสก็ได้ หรือจะเลือกกินแห้งก็ได้
และถ้ากังวลว่าจะไม่อิ่ม ก็สั่งข้าวมาเพิ่ม หรือจะเป็นเส้นเล็กเส้นใหญ่ก็ได้เหมือนกัน
การกินร่วมโต๊ะเป็นเรื่องของสังคม ถ้าต้องพรากจากสังคม คือไม่กินร่วม ก็อาจจะทำให้ชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง เป็นทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง อาจจะกลายเป็นเบียดเบียนตัวเองไปอีกแบบก็ได้
ถั่วต้ม

ถั่วต้ม : คนกินมังสวิรัติมักจะกังวลว่าเราจะขาดโปรตีน แต่จริงๆเรามีถั่วและธัญพืชเป็นมิตรแท้ในด้านโปรตีน ถั่วสามารถทดแทนโปรตีนที่ขาดไปได้
ทำให้คนกินมังฯ แข็งแรง มีกำลังเหมือนปกติ และยังทำให้อาหารที่กินอยู่ท้อง ไม่หิวเร็วด้วย
เราสามารถเลือกถั่วได้ตามสภาพของร่างกาย เช่นถ้ารู้สึกหนาวๆก็กินถั่วสีเข้ม เช่นถั่วดำ ถั่วแดง แต่ถ้ารู้สึกว่าร้อนๆ ก็กินถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วขาว หรือถั่วสีอ่อนนั่นเอง ก็จะทำให้ได้ทั้งธาตุอาหารและความแข็งแรงตามมาด้วย







ึความคิดเห็นล่าสุด