Tag: ประสบการณ์
แบ่งปันประสบการณ์ ลดเนื้อกินผัก ร้านสเต็ก
แบ่งปันประสบการณ์ ลดเนื้อกินผัก ร้านสเต็ก
เมื่อวานก่อนก็เพิ่งจะโพสเมนูอาหารเกี่ยวกับการหากินผักลดเนื้อกันที่ร้านสเต็ก แล้วเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ครอบครัวก็พากันไปกินข้าวกลางวัน กันที่ร้านสเต็กราคาประหยัด ซึ่งในปัจจุบันมีร้านสเต็กแบบนี้อยู่มากมายและราคาก็ไม่แพง ดังนั้นการที่ครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก จะชวนกันไปกินสเต็กก็เลยกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำ
แน่นอนว่าชาวมังสวิรัติส่วนใหญ่ก็มักจะเบือนหน้าหนีร้านสเต็กซึ่งมีทีเด็ดเป็นเนื้อสัตว์ แต่ด้วยความที่ญาติมิตรสหายของเรา เขาเหล่านั้นยังไม่สามารถเข้าใจและหันมากินมังสวิรัติได้อย่างเรา เราจึงต้องอนุโลมไปกินกับเขาบ้าง เพื่อประโยชน์อื่นๆที่มากกว่า เช่นในด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว ในด้านสังคม หน้าที่การงาน ฯลฯ
การอนุโลมหรือไปกินกับเขานี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปกินเนื้อกับเขา แต่หมายถึงว่าเราจะไปกินร่วมมื้อนี้กับเขาเท่านั้น เราร่วมโต๊ะ แต่เราไม่ได้ร่วมกินกับเขา ชาวมังสวิรัติจึงต้องศึกษาและหาเมนูผักกันไว้ เพื่อเอาตัวรอดจากดงเนื้อสัตว์นี้ไปให้ได้ โดยที่ยังมีความสุขกับการกินผักท่ามกลาง กลิ่นเนื้อสัตว์ที่ตัวเองเคยยึด เคยหลงติด หลงเสพ หรือแม้แต่เกลียดชังกลิ่นเนื้อสัตว์ก็ตาม
การศึกษาเมนูอาหารไว้บ้าง จะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างให้กับตัวเองว่า ไม่อยากเรื่องมาก,ไม่รู้จะกินอะไร,อาหารมังฯหากินยาก ฯลฯ การสั่งอาหารที่ไม่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ สั่งแต่อาหารที่มีผัก อย่างมั่นใจ แสดงให้เพื่อนร่วมโต๊ะได้เห็นว่าชาวมังสวิรัติอย่างเราสามารถเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ จะทำให้คนรอบข้างไม่รู้สึกลำบากใจ และยินดีที่จะกินร่วมกับเรา เพราะเราเอาตัวรอดเองได้ ไม่เป็นภาระ ไม่จำเป็นต้องเอาใจเรา
และการกระทำเหล่านี้จะยิ่งยืนยันคุณค่าของการกินมังสวิรัติให้เขาเห็นว่าเป็นสิ่งดี สิ่งเยี่ยม ไม่ใช่ว่ารวมญาติทีหนึ่งก็กินเนื้อทีหนึ่ง นัดเลี้ยงเพื่อนทีหนึ่งก็ไปกินเนื้อกับเขาอีกทีหนึ่ง …อันนี้มันก็ทำได้ แต่มันจะไม่ขลัง เวลาไปบอกใครว่ามังสวิรัติดี มันจะพูดไม่เต็มปาก ถึงจะพูดอย่างมั่นใจเขาก็ไม่เชื่อ เพราะเราไม่ได้กระทำอย่างที่พูดได้จริง
เกริ่นกันมานาน มาเข้าเรื่องกันเลย เมื่อมาถึงร้านเราก็ต้องศึกษาเมนูอาหาร พยายามมองหาเมนู ที่พอจะกินได้และทำให้อิ่มท้อง ในราคาที่เหมาะสม และคุณค่าที่คู่ควร …
เมนูชามแรกคือ ซุปเห็ด ชามนี้ไม่ได้สั่งมาเอง แต่พี่เป็นคนสั่ง เราเลยได้กินด้วย ตอนแรกก็มองข้ามซุปเห็ดไปเลย จริงๆพวกซุปแป้งพวกนี้แหละ ทำให้อิ่มท้องได้ดีนัก เพราะมีทั้งแป้งและไขมัน บางทีคิดว่าจะเอามากินรองท้อง กินไปกินมาก็อิ่มได้เหมือนกันนะ
ชามที่สองคือ มันบด เป็นอาหารกินเล่น กินง่ายๆ ตัวน้ำเกรวี่ก็คงจะไม่เรียกว่ามังสวิรัติ แต่ถ้าเราลองคิดดูว่า เราลดเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆ เหลือแค่มันบดได้ มันจะสามารถลดการเบียดเบียนได้ขนาดไหน แล้วถ้าทุกคนกินมันบดแทนสเต็กได้ จะรักษาชีวิตสัตว์ได้ขนาดไหน นี่แค่ขั้นลดนะ ใครยังไม่เก่งก็ลดให้ได้ก่อน เก่งๆ ค่อยละ ค่อยเลิก กันไปตามลำดับ
จานต่อมาเป็น ขนมปังกระเทียมหน้าชีส คือร้านนี้เขามีแต่เมนูนี้ ขนมปังกระเทียมปกติที่ไม่มีชีส ไม่ได้เขียนไว้ เลยลองสั่งมาก่อน เมนูนี้ก็พาอิ่มได้เหมือนกัน ขนมปังนี่ก็ให้พลังงานได้ไว แถมยังมีชีสอีก ใครยังกินชีสอยู่ก็กินไป ใครไม่กินก็บอกเขาว่า…ขอไม่เอาได้ไหม? ถามเขาก่อน ถ้าเขายินดีทำให้เราก็รับ ถ้าเขาไม่ยินดีเราก็ไปสั่งอย่างอื่น
มาถึงชามที่ 4 เมนูสิ้นคิดของชาวมังสวิรัติเวลาไปร้านอาหารฝรั่งแล้วไม่รู้จะสั่งอะไร ถ้ามันหมดหนทาง หมดปัญญาแล้วจริงๆ เราจะเลือกสั่งแต่ มันฝรั่งทอด หรือ เฟรนช์ฟรายด์ มากินประชดชีวิตก็ได้ ให้มันรู้ไปว่าแม้จะมีแต่แป้งและไขมัน ฉันก็จะขอละเว้นเนื้อสัตว์ … แต่โลกมันก็คงไม่โหดร้ายขนาดนั้น ลองถามร้านเขาดูก็ได้ เขาอาจจะเสนอเมนูอะไรดีๆให้เราบ้างละนะ
ชามที่ 5 คือ สลัดผัก แม้จะกินในร้านอาหาร แต่สลัดชามนี้ราคาไม่แพงเลย ดีไม่ดีจะถูกกว่าซื้อสลัดตามตลาดนัดเสียอีก สลัดที่ไม่ใส่เนื้อสัตว์เลย ก็มักจะมีราคาถูกที่สุด นอกจะเราจะได้ละเว้นเนื้อสัตว์แล้ว เรายังละเว้นการจ่ายเงินที่มากเกินความจำเป็น ให้กับสิ่งที่เราไม่อยากกินอีกด้วย นั่นทำให้เราเกิดความประหยัดมากขึ้น
การกินแต่ผักก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ต้องไปสน ไปกังวล ไปลำบากใจว่า เนื้อสัตว์ที่ประกอบมาในจานสลัดนั้น ไม่อร่อย ไม่สด ไม่กรอบ ไม่ดี อะไรก็ว่าไป พอเรากินแต่ผัก ชีวิตจะมีเรื่องให้คิดน้อยลงทันที
เมนูสุดท้าย คือ สปาเก็ตตี้ซอสเห็ด เป็นเมนูที่ดูจริงจังแม้ว่าพลังงานที่ได้นั้นอาจจะดูน้อยกว่า มันฝรั่งทอดซึ่งเป็นของกินเล่น สปาเก็ตตี้ก็จะมีแป้งเป็นหลัก มีไขมัน และโปรตีนจากเห็ดอีกนิดหน่อย แต่เราอย่าไปคิดมากเวลากินอาหารร่วมกับญาติมิตรสหาย แค่ไม่กินขนมปังเปล่าๆ หรือข้าวเปล่าก็ดีแล้ว เรื่องสารอาหารขอให้ลืมๆไปก่อน เอาไว้ไปกินเติมเองหลังมื้อนั้นๆ หรือไปทดแทนในมื้ออื่น ร่างกายขาดสารอาหารที่เราคิดว่าจำเป็นสักวันสองวันไม่เป็นอะไรหรอกนะ
…หมดแล้ว เมนูเท่าที่คิดได้ … ชาวมังสวิรัติ สั่งกินแค่สลัดผักกับสปาเก็ตตี้สักจานก็น่าจะอิ่มกันในราคาที่พอเหมาะแล้ว ส่วนของกินเล่นอื่นๆจะสั่งมาเติมกันไปบ้างก็ได้ ก็แล้วแต่ว่าใครจะอยากกินอะไรแค่นี้เราก็สามารถลดเนื้อกินผักในการกินอาหารมื้อหนึ่งที่ร้านสเต็กกันได้แล้ว
ประสบการณ์ลดเนื้อกินผัก มังสวิรัตินอกบ้านในร้านอาหารครอบครัว
ประสบการณ์ลดเนื้อกินผัก มังสวิรัตินอกบ้านในร้านอาหารครอบครัว
มีโอกาสได้กินนอกบ้านเนื่องจากวันรวมญาติ การที่ชาวมังสวิรัติจะต้องมากินในสถานที่ต่างถิ่นก็มักจะมาจากเหตุปัจจัยด้านสังคมเป็นส่วนประกอบหนึ่ง เมื่อเราออกจากที่มั่นของเราแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเลิกการลดเนื้อกินผักตามวิถีของเราไปด้วย เรายังไม่จำเป็นต้องอนุโลมหรือกินเนื้อสัตว์ไปกับเขาถ้าเรายังพอมีทางเลือก
ทางเลือกหรือทางรอดนั้นเราจำเป็นต้องศึกษาและไขว่คว้ามาเอง การศึกษาในกรณีนี้คือ รู้ว่าจะต้องไปกินที่ไหน ร้านนั้นเขามีอะไรขายบ้าง มีเมนูอะไรที่เราพอจะกินได้บ้าง ส่วนการไขว่คว้านั้นจะใช้เมื่อเข้าสู่ภาวะหาอะไรกินยากลำบาก อาจจะต้องไปถามไปยังร้านว่าพอจะทำเมนูที่เราต้องการให้ได้หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ทางร้านก็สามารถที่จะทำได้ ถ้าเราไม่ไปร้านอาหารที่เฉพาะเจาะจง ที่เน้นไปทางขายเนื้อสัตว์มากไปนัก
ร้านนี้มีทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง ถ้าเอาแบบง่ายๆ ไม่คิดมาก ไม่ลำบากมาก สั่งง่าย กินง่าย อิ่มง่าย ก็สามารถสั่งผัดผักมากินกับข้าวได้ ถือว่าผ่านไปง่ายๆ สำหรับการกินมังสวิรัติในงานเลี้ยงรวมญาติครั้งนี้
แต่ถ้ามื้อนี้ผู้มีอุปการคุณยินดีที่จะเลี้ยงอาหารเรา แล้วบอกว่าให้เรากินเต็มที่ เราก็ควรจะ …..กินเท่าที่เราเคยกินนั่นแหละ คือสั่งผัดผักกับข้าวมากินก็ได้ … แต่ด้วยผู้เขียนคิดว่าถ้ากินแบบนั้นมันก็เหมือนกินที่บ้าน มากินในวันรวมญาติทั้งทีเดี๋ยวจะไม่มีอะไรเอามาแบ่งปันให้อ่านกันก็เลยจัดมาหลายเมนู…
เมนูแรก ปอเปี๊ยะทอดไส้ผัก อันนี้น้าสั่งมาไว้ให้ เพราะเห็นว่าเรากินมังสวิรัติ …เห็นไหมว่า เมื่อเราได้ประกาศบอกคนในครอบครัวไปแล้วว่าเรากินมังสวิรัติ จากที่เราเคยหาเมนูคนเดียวก็มีคนมาช่วยดูว่าเราจะกินอะไรได้บ้าง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กินกับเราก็ตาม
ปอเปี๊ยะทอดไส้ผักนี่ก็ไม่มีอะไรมาก มีแป้งห่อ ผัก คือวุ้นเส้น เห็ด แครอท น่าจะประมาณนี้ จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่คนกินมังสวิรัติก็สบายใจได้เพราะยังไงก็มีแต่ผัก เราอาจจะสั่งมาคู่กับผัดผักอีกสักเมนู ข้าวด้วยอีกจาน ก็ถือว่าพอดี พออิ่ม และดูไม่น้อยจนเหมือนหาอะไรกินลำบากมากเกินไป จนพลอยทำให้คนอื่นกังวลใจกับการกินของเรา
แต่พอดีว่าไม่ได้สั่งผัดผักมากินกับข้าว ก็เลยสั่ง ซีซาร์สลัด ปกติซีซาร์สลัดนี่เขาใส่เนื้อสัตว์จำพวกเบคอนรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่พอดีไปบอกกับทางร้านก่อนที่จะสั่งว่า “เราไม่กินเนื้อสัตว์ ช่วยแนะนำเมนูให้หน่อยได้ไหม” ทางร้านแนะนำสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ และเราก็ได้สั่งเมนูนี้มาเพิ่ม ประมาณว่าอยากกินผัก ก็กินกันง่ายๆ รสชาติมาตรฐาน กินผักไปก่อนที่ของหนักๆ จะมา ก็ดีนะย่อยง่าย
ผักโขมอบชีส เป็นเมนูที่สั่งต่อมา ใครที่ยังกินมังสวิรัติใหม่ๆ ก็สั่งมากินเล่นได้เลย ถือว่าเป็นเมนูเอาตัวรอดได้ดีประมาณหนึ่งเมื่ออยู่ในร้านอาหารฝรั่ง เพราะไปที่ไหนเขาก็มี ร้านพิซซ่าทั่วไปก็มี
ว่าแล้วก็มีถึงจานหลัก คือ สปาเก็ตตี้ ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ จะเป็นซอสมะเขือเทศล้วนๆ ก็อร่อยดี อร่อยแบบมีคุณค่า ไม่ลำบากใจที่จะต้องสั่งเมนูที่มีเนื้อสัตว์ คิดว่าร้านอาหารฝรั่งส่วนใหญ่ก็น่าจะมีเมนูนี้อยู่เหมือนกัน ซึ่งราคาก็มักจะถูกที่สุดในบรรดาเมนูพาสต้าที่เรียงรายกันอยู่ ถูกและดีจริงๆ
ในระหว่างที่กินอยู่ ญาติๆ ก็จะทยอย จัดหรือแนะนำผักต่างๆมาให้ เป็นผักสลัดประดับจานบ้าง ผักต้มที่มากับเสต็กบ้าง เช่น มันบด บร็อคโคลี่ แครอท คงเพราะว่าเขาเห็นเรากินมังสวิรัติ เขาก็เห็นดีด้วยจึงมีเมตตากรุณาช่วยเหลือเรา อาจจะเพราะกลัวเราจะไม่อิ่มด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเราก็ยินดีที่จะรับไว้ ยิ่งเป็นผักประดับจานที่เหลือๆ เราก็ยิ่งยินดี เพราะว่าจะได้ไม่เสียของ ยังไงเราก็กินอยู่แล้ว แม้จะไม่มีน้ำสลัดราด เราก็กินผักเปล่าๆ ด้วยความเคยชิน นั่นแหละนะ
เกือบจะอิ่มแล้ว แต่พอดีมีเมนูที่อยากลองกินดูอีกจานนั่นคือ ปอเปี๊ยะผักโขมชีส เป็นอีกเมนูหนึ่งที่สั่งมากินเล่นๆได้ดี ของทอดนี่รสชาติจะเปลี่ยนไปตามน้ำจิ้มเป็นส่วนใหญ่ ไส้ในเป็นองค์ประกอบย่อยๆ ที่ช่วยหนุนรสสัมผัสอีกทีหนึ่ง พระเอกจริงๆคือผิวกรอบๆของแป้งห่อนั่นเอง (กินทีไรมันก็เด่นสุดทุกที)
สรุปว่าหลังจากที่ทุกคนในครอบครัวรู้ว่าเรากินมังสวิรัติ ก็จะทำให้การดำเนินตามวิถีลดเนื้อกินผักของเรา เป็นไปได้อย่างสะดวกและง่ายมากยิ่งขึ้น ร้านอาหารที่มีอาหารขายหลากหลายแบบนี้ เช่น ร้านข้าวต้ม ภัตตาคาร ร้านอาหารทั่วๆไป สามารถหาเมนูมังสวิรัติกินได้ง่าย เพราะมีเมนูผักให้เลือกหลากหลาย ปรับเปลี่ยนได้ตามที่เราต้องการ จะเพิ่มผักลดเนื้ออย่างไรก็สามารถบอกเขาได้เลย
Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา
Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา
จนถึงตอนนี้ก็ครบ 1 เดือนกันแล้วกับ Veggie Kitchen ในเฟสบุค ในตอนแรกนั้นก็ไม่ได้คิดจะตั้งเพจนี้ขึ้นมา เริ่มมาจากลงรูปเมนูอาหารมังสวิรัติในหน้าของตัวเองก่อน ทำไปทำมามันก็เริ่มจะเยอะ และเริ่มคิดได้ว่ามันน่าจะเอามาทำประโยชน์อะไรได้มากกว่าแค่โชว์รูปอาหารมังสวิรัติที่ทำเอง รวมกับมีงานออกแบบส่วนหนึ่งที่เคยทำค้างคาไว้อยู่แล้ว เลยผสมทุกอย่างออกมาลงตัว เป็นอย่างที่เห็นนี่เอง
Veggie Kitchen เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้เริ่มต้นเรียนรู้และหัดกินมังสวิรัติ หัดลดเนื้อกินผัก แสวงหาข้อมูลทางเลือกในการพึ่งตนเองเพื่อจะได้มาซึ่งอาหารมังสวิรัติ และหาวิธีปรับตัวเมื่อต้องกินมังสวิรัติกับสังคมเดิม
- ผู้ที่กินมังสวิรัติมาสักระยะหนึ่งแต่ยังตกหล่น พร่องอยู่เป็นประจำ ที่บ้านที่ทำงานก็กินได้ แต่พอไปในสถานที่ไม่คุ้น เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย ก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ทุกที
- ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ยังมีความทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นกินเนื้อสัตว์ เห็นเขาฆ่าสัตว์ เห็นเขาทรมานสัตว์ ยังไม่สามารถปล่อยวางความยึดดี ถือดีได้
- ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างปกติ และอยู่กับสังคมที่กินเนื้อสัตว์ได้อย่างมีความสุข สามารถเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการออกจากนรกของการเสพติดเนื้อสัตว์และการยึดดีให้กับเพื่อนๆ
วัตถุประสงค์ของ Veggie Kitchen
- เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติ ได้มีทางเลือกที่มากกว่าการทำอาหารเอง หรือหาซื้ออาหารจากร้านมังสวิรัติ
- เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติได้เห็นความหลากหลายในวิธีการหากินอาหารมังสวิรัติ
- เพื่อลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นด้วยการเสพ เช่น การกินเนื้อสัตว์ การไปแย่งชิงของรักของสัตว์อื่น
- เพื่อลดการเบียดเบียนตัวเอง โดยการทรมานตัวเองด้วยความยึดดี ถือดี เสพดี ทำให้อึดอัดจนเกิดความทุกข์
- เพื่อการกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนและมีความสุขจากการไม่เสพเนื้อสัตว์และไม่ยึดดีถือดี
- เพื่อสุขภาพที่ดี เพราะการไม่เบียดเบียน ทำให้มีอายุยืน และมีโรคน้อย
- เพื่อลดความอยากในการกิน คือ กิเลส อันเป็นรากเหง้าแห่งปัญหาทั้งปวง
- เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดการ ร่วมเรียนรู้ วิธีปฏิบัติ แบ่งปันประสบการณ์ในการกินมังสวิรัติ
วิถีทางปฏิบัติสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนของ Veggie Kitchen
วิธีที่เราจะใช้เป็นหลักในการกินมังสวิรัติ คือ การ ลด ละ เลิก การบริโภคเนื้อสัตว์ให้เหมาะสมกับพื้นฐานของแต่ละบุคคล ติดมากก็ให้ลดบ้าง ติดปานกลางก็ให้ละบ้าง ติดน้อยก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย และเรายังใช้การ ลดละเลิก ในลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นและตนเองในส่วนอื่นๆของการกินและการใช้อีกด้วย
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
เมตตา เป็นคำที่หลายคนคุ้นเคย เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นสบายและอบอุ่นไปทั้งใจเมื่อได้รับ มีคุณค่ามากมายเมื่อเมตตาได้งอกงามและเจริญในจิตใจ ชาวมังสวิรัติมักจะใช้เมตตาเป็นตัวนำในการพาตัวเองไปสู่ชีวิตมังสวิรัติ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองได้ลด ละ เลิก การเบียดเบียนได้
เมตตากับผู้เริ่มต้นกินมังสวิรัติ
เมตตา สำหรับผู้เริ่มต้นกินมังสวิรัตินั้น การที่เราจะพัฒนาเมตตาได้นั้น เราควรจะเรียนรู้ว่าสัตว์ที่มาเป็นอาหารของเรานั้น เกิดมาทำไม ใช้ชีวิตแบบใด และจากโลกนี้ไปอย่างไร มีสื่อมากมายที่ทำให้เราเห็นความจริงของชีวิตเหล่านั้น หลายคนอาจจะไม่เคยเห็นภาพ ไม่เคยรับรู้ข้อมูล แต่เมื่อได้รู้แล้วก็รู้สึกสงสาร เห็นใจ สลด หดหู่ ฯลฯ ใจที่มีเมตตาจะเริ่มเจริญงอกงามขึ้นในช่วงนี้ และเมื่อรู้สึกสงสารแล้วก็เริ่มอยากจะช่วยเหลือ เริ่มที่จะรู้สึกว่าไม่อยากเบียดเบียน จึงเริ่มสนใจเข้าสู่การกินมังสวิรัติ อันคือ “ความกรุณา“
ผู้คนมากมาย ที่รับรู้ความโหดร้าย ความทรมานในกระบวนการอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์ แม้จะมีจิตเมตตา แต่ก็ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้เกิดกรุณา คือลงมือทำเพื่อลดการเบียดเบียน เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองมาสู่การ ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ มาลดเนื้อกินผัก การจะช่วยลดการเบียดเบียนเหล่านั้น จำเป็นต้องมีเมตตาและกรุณาที่มีกำลังมากพอที่จะไปตัดความอยากเสพเนื้อสัตว์
ความอยากเสพ คือ ความหลงติด หลงยึด หลงผิดไปว่า ถ้าฉันได้สิ่งนี้มาฉันจะมีความสุข ถ้าฉันได้กินฉันจะอร่อย ทั้งหมดนี้คือ “ กิเลส ” ที่สร้างความสุขลวง สร้างรสอร่อยขึ้นมา การออกจากสภาพติดยึดเหล่านี้ต้องใช้เมตตาและกรุณา คือความรักความเห็นใจต่อสัตว์โลก และลงมือปฏิบัติเพื่อช่วยลดการเบียดเบียนชีวิตของเขา และยังใช้ความเกลียดสิ่งที่ชั่ว อันคือความโหดร้าย ทารุณ การเบียดเบียนต่างๆ เข้ามาเสริมความยึดดีในจิตใจเพื่อการออกจากนรกของการเสพ
การจะก้าวเข้าสู่ชีวิตนักมังสวิรัติได้ จำเป็นต้องใช้ “ความพยายาม ” มากกว่าการเจริญเมตตาและกรุณา คือต้องพิจารณาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย จากการไปเสพเนื้อสัตว์ พร้อมทั้งพิจารณาประโยชน์จากการเลิกเสพเนื้อสัตว์ ในด้านสุขภาพ การเงิน เวลา สังคม กรรมและผลของกรรม ฯลฯ และพิจารณาหลักธรรมข้ออื่นๆประกอบไปด้วย เช่น ไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยงของอาการอยากเสพเนื้อสัตว์ ความเป็นทุกข์จากการเสพหรือไม่ได้เสพเนื้อสัตว์ ความไม่มีตัวตนแก่นสารสาระแท้ใดๆในการเสพเนื้อสัตว์ ก็จะสามารถทำให้ผู้กินมังสวิรัติมือใหม่ พัฒนาไปเป็นผู้ที่สามารถกินมังสวิรัติอย่างเป็นสุขและยั่งยืนได้
เมื่อพัฒนาจนเต็มที่จะพบว่า แม้จะกลับไปกินเนื้อสัตว์ก็จะไม่มีความสุขจากการเสพเหมือนเดิม ความอร่อยจากเนื้อสัตว์ที่เคยมีจะหายไป เหลือแต่ความอร่อยจากรสชาติที่ปรุงแต่งขึ้นมา แต่จะได้ความสุขจากการไม่เสพขึ้นมาแทน นักมังสวิรัติที่ไม่สามารถลด ละ เลิก ความอยากเสพ หรือ กามสุขลิกะ อันคือความสุดโต่งไปในด้านของการเสพ (กิเลสในมุมเสพวัตถุ) จะไม่สามารถกินมังสวิรัติได้ยั่งยืน แม้จะกินมานาน 30-40 ปี ก็มีโอกาสกลับไปกินเนื้อสัตว์ได้อยู่ เพราะความอยากยังไม่ตาย กิเลสที่มีจะแค่ถูกกดข่ม ถูกลืมไป แต่กิเลสจะแอบพัฒนาตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ และส่งผลออกมาในภายหลัง ในลักษณะที่เรียกว่า “ตบะแตก”
ดังนั้นจำนวนปีหรือช่วงเวลาที่ลด ละ เลิก ได้ ไม่ใช่ตัวยืนยันว่าเราจะออกจาก ความอยากเสพได้ หากเรามุ่งเป้าหมายว่าจะเมตตาสัตว์โลก ลดการเบียดเบียน ความอยากเสพเป็นรากของกิเลสที่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะเป็นตัวอย่างของนักมังสวิรัติที่ไม่ดี ปากก็บอกคนอื่นว่ากินมังสวิรัติ แต่แล้วเวลาเผลอก็แอบไปกินเนื้อสัตว์ หรือไม่ก็กดข่มจนสุดท้ายก็ตบะแตกไปกินเนื้อสัตว์ จึงเกิดมีคำถามจากผู้คนทั่วไปว่ากินมังสวิรัติแล้วดีอย่างไร? กินแล้วทรมานจากความอยากแล้วมันดีอย่างไร? แล้วชาวมังสวิรัติจะตอบเขาได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ลดความอยากยังไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ พึงตั้งตนอยู่ในคุณอันสมควรก่อน และค่อยพร่ำสอนผู้อื่นภายหลังจักไม่มัวหมอง ” ดังนั้นนักมังสวิรัติ พึงระวังไว้ด้วยว่าเรานี่แหละคือตัวอย่างของคนกินมังสวิรัติ แม้เราจะไม่ได้บอกใครว่ากินมังสวิรัติดีอย่างไร แต่เขาจะเรียนรู้ได้เองจากการสังเกตวิถีชีวิตของเรา คือ การสอนโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากสอน
เมตตาสำหรับนักมังสวิรัติ
ชาวมังสวิรัติที่สามารถกินมังสวิรัติได้ตลอด แม้จะต้องไปอยู่ที่ต่างถิ่น ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็สามารถรักษาศีลไว้ได้ไม่ขาด มีศิลปะในการเลี่ยงกินเนื้อสัตว์ หรือผู้ผ่านด่านความอยากเสพเนื้อสัตว์มาแล้ว มีเมตตากรุณากับเหล่าสัตว์ผู้ที่เคยเป็นอาหาร มีความสุขแม้ว่าจะไม่ได้เสพเนื้อสัตว์เหมือนอย่างเคย
แต่ก็มักจะมาติดนรกอีกตัวคือ ความยึดดี ถือดี …เมื่อเมตตาไม่ได้เจริญครอบคลุมไปถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีกิเลส คนที่เขายังไม่เข้าใจถึงทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียของการเบียดเบียนชีวิตอื่น ก็มักจะไปเพ่งโทษคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ว่าจิตใจไม่ดี ไม่เมตตา ไม่กรุณา ต่างๆนาๆ จนทำให้ตัวเองเกิดความทุกข์
ลักษณะอาการ คือ เมื่อเห็นคนกินมังสวิรัติก็จะยินดี ดีใจ มีจิตมุทิตากับเขาได้โดยมีแต่ความสุข แต่เมื่อเห็นคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ หรือแม้แต่เห็นคนที่กินมังสวิรัติไปกินเนื้อสัตว์ กลับไม่สามารถที่จะทำใจให้ยินดีกับสิ่งที่เห็นหรือรับรู้ได้ จึงยินร้าย ขุ่นมัว ไม่พอใจ เพ่งโทษ ถ้าอาการหนักขึ้นมาก็อาจจะมีคำพูด ลีลาท่าทาง หรือการสื่อสารที่แสดงอาการไม่พอใจออกมา ทั้งหมดนี้เป็นอาการของคนติดดี ยึดดี ถือดี เป็น “นรกของคนดี” เป็นคนดีที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ เพราะมีแต่ความกดดัน จึงเป็นคนดีที่ไม่มีใครต้องการ สะสมแต่ “อัตตา” พอกพูนจนเกิดความทุกข์ทั้งตนเองและคนอื่น
เราใช้ อัตตา หรือการยึดดี ถือดี ในการก้าวข้าม ความอยากเสพเนื้อสัตว์มา แต่ในตอนสุดท้ายก็ต้องทำลายอัตตา คือความยึดดี ถือดี เหล่านั้นทิ้งด้วย “ อุเบกขา ” หรือการปล่อยวาง
เมื่อเรามีอัตตา เราจะอยากเสพดีจากคนอื่น คือ แต่ก่อนเราเคยอยากเสพเนื้อสัตว์ แต่พอหลุดจากการเสพเนื้อสัตว์ เราก็มาติดดี หลงว่าต้องเลิกเสพเนื้อสัตว์จึงจะดี จึงกลายเป็นอยากให้คนอื่นทำดีอย่างเรา ทำอย่างที่ใจเราคิด ทำอย่างที่เราทำได้ พอเขาทำไม่ได้อย่างใจเรา เราก็ทุกข์ ใครทำผิดกฎ ใครมาว่าคนกินมังสวิรัติ เราก็ทุกข์ ทั้งหมดนี่เป็นอาการอยากเสพสิ่งที่ดีจากคนอื่น เกิดดีสมใจจึงจะเป็นสุข ไม่เกิดดีสมใจก็เป็นทุกข์
ถ้ามาถึงตรงนี้ต้อง พิจารณาความจริง ตามความเป็นจริง เพื่อปล่อยวาง “ความยึดมั่นถือมั่น” คือ ให้เมตตาขยายไปถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีกิเลส การที่เขายังเสพติดเนื้อสัตว์เพราะเขายังมีกิเลส เหมือนอย่างที่เราเคยมีเมื่อก่อน เขาจำเป็นต้องใช้เวลาเรียนรู้กิเลสอีกนานจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ ให้เข้าใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม การที่สัตว์เหล่านั้นถูกฆ่าเพื่อกินก็เป็นกรรมที่พวกเขาทำมาเอง ถ้าพวกเขาไม่เคยเบียดเบียนก็ไม่มีทางที่จะถูกเบียดเบียน เราไปห้ามกรรมเหล่านั้นไม่ได้ เพราะกรรมเป็นของใครของมัน ”ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาได้รับโดยที่เขาไม่ได้ทำมา สิ่งที่พวกเขาได้รับคือสิ่งที่เขาทำมาแล้วทั้งนั้น” เป็นสัจจะที่ใช้พิจารณาความจริงได้ตลอดกาล
หากชาวมังสวิรัติมีโอกาสที่จะแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตมังสวิรัติ เราทำได้เพียงแค่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง แต่ไม่ต้องใส่ความโกรธ ใส่การเปรียบเทียบ ใส่การยกตนข่มคนอื่น ใส่ความยึดดีถือดีลงไป เพราะแม้เราจะเป็นกินมังสวิรัติได้อย่างบริสุทธิ์ แต่ถ้ายังไม่สามารถเมตตาคนอื่นได้ ก็ยังมีโอกาสที่จะปล่อยคำพูดที่เหน็บแนม ดูถูก เหยียดหยัน ประณาม กดดัน ฯลฯ ซึ่งก็คงยากที่จะสร้างชาวมังสวิรัติเพิ่มได้ เพราะการสื่อสารที่มีอัตตาปน ผู้รับฟังจะสามารถรู้สึกได้ เช่น ไม่ระรื่นหู ไม่สบายใจที่จะฟัง ฟังแล้วอึดอัด กดดัน ฯลฯ แม้โดยรวมจะดูเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คำพูดสวยหรู เข้าถึงคนจำนวนมาก แต่ก็เป็นเหตุทำให้การสื่อสารเหล่านั้นไร้ประสิทธิผลคือ เขาก็พูดดีนะ แต่รู้สึกว่าไม่อยากรับฟัง
เมื่อเราพิจารณาตามความเป็นจริง เข้าใจเหตุปัจจัยของการเกิดสิ่งต่างๆด้วยปัญญาแล้ว จึงจะสามารถปล่อยวางความอยากเสพและความยึดดี ถือดี ทั้งหมดได้ กลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สื่อสารด้วยเมตตา ไม่มีอัตตาปน มีความกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย มีมุทิตาจิตได้ในทุกๆสถานการณ์ เมื่อได้ทำดีอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผลอาจจะไม่เกิดดีตามที่ทำก็สามารถปล่อยวางทุกอย่างด้วยใจที่เป็นสุข
คำว่า “ปล่อยวาง” ไม่ใช่ “วางเฉย” ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ในการนำเสนอประสบการณ์หรือข้อมูลเกี่ยวกับการกินมังสวิรัติแก่เพื่อนมนุษย์ แต่หมายถึง ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ว่าดีต้องเกิด เกิดดีจึงจะเป็นสุข ไม่เกิดดีแล้วทุกข์ งานเผยแพร่ข้อมูลมังสวิรัตินั้นยังทำอยู่เหมือนเดิม แต่ความทุกข์ในงานนั้นหายไป เพราะชาวมังสวิรัติได้กำจัดอัตตา คือความยึดดี ถือดี อันเป็นรากเหง้าแห่งกิเลสสิ้นไปแล้ว
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ค้ำจุนโลก
ดังจะเห็นได้ว่า ความเมตตาอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่ยิ่งใหญ่ได้ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาไปให้ถึงที่สุดแห่งพรหมวิหาร ๔ อันเป็นที่ตั้งแห่งความผาสุกที่ควรสร้าง พัฒนา ขยายขอบเขตให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
ประสบการณ์การกินมังสวิรัติในร้านสุกี้ และการเปลี่ยนแปลงจากสุกี้เนื้อสัตว์มาสู่สุกี้มังสวิรัติ
การกินมังสวิรัติในร้านสุกี้ ถือเป็นด่านที่ค่อนข้างง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่หัดกินมังสวิรัติใหม่ๆ หากมีเพื่อนหรือครอบครัวนัดกันไปกินสุกี้ เราก็สบายใจได้เลยว่ามื้อนี้จะรอดไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เราจะมาลองแชร์ประสบการณ์กินมังสวิรัติในร้านสุกี้กัน
ไปครั้งนี้สั่งไม่เยอะ ไม่หลากหลายเท่าไรนัก เพราะไปกับพ่อสองคน ร้านสุกี้มักจะเป็นร้านที่เรานั่งกินกันตามประสาพ่อลูกเป็นประจำ กินกันมาตั้งแต่ยังไม่กินมังสวิรัติจนตอนนี้เปลี่ยนมากินมังสวิรัติ …ก็จะขอแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการสั่งอาหารไว้ในบทความนี้ด้วย
เมื่อมาถึงร้านสุกี้ เราก็มักจะเปิดเมนูสั่งผักกันก่อน ถ้าเราไม่คิดมากก็กินแต่ผักก็ได้ มีผักให้เลือกมากมายหลายหน้าตา มีรสชาติและรสสัมผัสต่างกันไป เราสามารถสั่งผักแยกตามที่ชอบกิน หรือจะสั่งเป็นชุดรวมก็ได้หากมาเป็นกลุ่มใหญ่ ขึ้นชื่อว่าผักมาเท่าไหร่เราก็กินเรียบ
วิธีการกินผักให้มีความสุข คือ เราควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับผักแต่ละชนิดว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง มีวิตามิน มีคุณค่าทางอาหารแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งการรู้ประโยชน์นั้นจะทำให้เรากินผักอย่างมีความสุข เพราะรู้ถึงคุณค่าในผักแต่ละชนิดที่กิน และยังสามารถรู้ไว้ประเมินธาตุอาหารที่จะได้รับได้อีกด้วย เมนูผักที่สั่งเป็นประจำก็จะมี ผักบุ้ง ผักกาดขาว สาหร่ายวากาเมะ ส่วนรูปทางขวาบน คือ ปวยเล้ง ไม่ได้สั่งประจำสักเท่าไรนัก
ด้านขวาล่างคือ คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ชาวมังสวิรัติอาจจะคิดไปว่า เอ๊ะ! จานนี้มีน้ำมันหอยนี่นา …อย่าเพิ่งใจร้อนตัดสินกันไป เพราะกว่าจะมาถึงจานนี้มันมีที่มาที่ไป ลองมาอ่านกันเลย….
แต่ก่อนเวลากินกับพ่อจะสั่งเป็ดย่างเป็นประจำ แต่เมื่อเราหันมากินมังสวิรัติ ในช่วงแรกนั้นก็ยังสั่งเป็ดย่างมากิน แต่กินโดยที่ใจไม่ได้อยากกิน ไม่อร่อยแล้ว กินเป็นเพื่อนพ่อไป ต่อมาตั้งใจ ละเว้นเด็ดขาด แม้สั่งเป็ดย่างมาแต่ก็ไม่กิน สั่งเพื่อให้พ่อกินคนเดียว สุดท้ายก็ไม่หมด และเราก็ไม่ได้ช่วยกิน ปล่อยมันเหลือไว้อย่างนั้น จนพ่อบอกว่าครั้งหน้าไม่ต้องสั่งก็ได้ เราก็เลยเสนอว่า “ ครั้งหน้าเอาเป็น คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ดีไหม?” เพราะว่าเรามักจะกินเป็ดย่างกับบะหมี่หยกกันเป็นประจำ ถ้ามันขาดไปคงจะเหงาไปหน่อย ซึ่งในตอนนี้ คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย เลยเป็นตัวแทนเป็ดย่างนั่นเอง เข้าสูตรการลด การกินเนื้อสัตว์แล้ว ส่วนจะพัฒนาไปอย่างไร ก็รอดูกันต่อไป
ถ้าเราสามารถละเว้นเนื้อสัตว์ได้สมบูรณ์แล้ว เราอาจจะอนุโลมเป็นกรณีไป ซึ่งต้องประมาณให้เกิดกุศล อย่าบ่อยจนเกินไป อย่างกรณีนี้เป็นคนในครอบครัว ซึ่งเราก็ไม่เคยไปบอกให้เขาหันมากินมังสวิรัติเหมือนเรานะ แค่ทำให้ดู กินให้ดู ไม่หันกลับไปอยากกินเนื้อสัตว์ ไม่ทำตัวไม่มั่นคง ให้เขาไขว้เขวว่ามังสวิรัติดีจริงรึเปล่า? ให้เขาสับสนว่าเลิกกินเนื้อสัตว์แล้วมีความสุขจริงหรือ? เราจะพูดแต่เรื่องดีๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ได้จากการกินมังสวิรัติ โดยไม่ต้องไปกดดัน บีบคั้น หรือไปบอกว่าคนกินเนื้อสัตว์เบียดเบียนอย่างไรให้เขาลำบากใจ
เชื่อไหมว่าเดี๋ยวเขาก็ตามมากินแบบเราเองนั่นแหละ อย่างน้อยเขาก็เห็นดีเห็นควรตามเรา แม้ว่าเขาจะสามารถกินมังสวิรัติได้เฉพาะเวลาร่วมโต๊ะกับเราก็ตาม แต่นั่นหมายถึงเราเปิดประตูและเชิญเขา เข้ามาสู่ชีวิตมังสวิรัติได้บ้างแล้ว เป็นกุศลมากพอแล้ว เพราะเรามีโอกาสจะสร้างชาวมังสวิรัติเพิ่มอีกหนึ่งคน ในทางกลับกันถ้าเราไปกดดัน บีบคั้น รังเกียจคนกินเนื้อสัตว์ อาจจะเผลอไปพูดทำร้ายจิตใจเขา จนเสียโอกาสที่จะเพิ่มชาวมังสวิรัติไปอีกคนหรือหลายคนเลยก็ได้ เพราะจริงๆแล้วคนเราติดยึดไม่เท่ากัน กว่าเราจะออกจากการเบียดเบียน กว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ก็ใช้เวลากันนานพอสมควร …ดังนั้นการที่คนอื่นจะติดยึดในการกินเนื้อสัตว์ จะใช้เวลานานกว่าจะรู้ถึงผลเสีย จนถึงเนิ่นนานไปอีกกว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
มาต่อกันที่เมนูสุกี้มังสวิรัติ เราจะเพิ่มโปรตีนกันด้วยเต้าหู้ มีเต้าหู้มากมายให้เลือกสั่ง ที่ร้านสุกี้มักจะมีให้เลือกระหว่างเต้าหู้ไข่ กับเต้าหู้ธรรมดา ซึ่งน่าจะทำจากถั่วเป็นหลัก ใครอยากลองลดไข่ก็เริ่มจากสั่งเต้าหู้ถั่วเขียวไปก็ได้ เพราะกินไปก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
ต่อกันที่เมนูเห็ด เลือกเห็ดมาสามชนิด คือ เห็ดฟาง เห็ดชิเมจิดำ เห็ดชิเมจิขาว คิดอะไรไม่ออกก็สั่งเห็ดนี่แหละ รวมๆแล้วแค่สั่งสามอย่างคือ ผัก เต้าหู้ เห็ด ให้หลากหลาย ก็มีของให้กินเต็มหม้อสุกี้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าชาวมังสวิรัติจะต้องลำบากในร้านสุกี้ แม้ว่าเพื่อนๆ หรือผู้ร่วมโต๊ะจะกินเนื้อ เราก็กินมังสวิรัติของเราไปได้อย่างสบายใจ เพราะจิตใจเราไม่ได้อยากกินเนื้อ และไม่ได้รังเกียจคนที่กินเนื้อ เพราะเข้าใจดีว่าการเลิกกินเนื้อนั้นยาก ต้องใช้เวลา เราเข้าใจและเห็นใจ พร้อมทั้งยังให้อภัยที่พวกเขากินเนื้ออันมีส่วนในการเบียดเบียน และสุดท้ายเรานี่แหละคือตัวอย่างที่จะทำให้เขาเห็นว่ากินมังสวิรัติแล้วชีวิตดีขึ้นอย่างไร
มาถึงสุดท้าย คือ แป้ง เป็นธาตุอาหารที่ขาดไม่ได้ของชาวมังสวิรัติ ตั้งแต่กินมังสวิรัติมา ไม่เคยลดแป้งเลย ไม่เคยงดข้าว ไม่เคยกินสลัดแทนข้าว (ยกเว้นว่าไปร้านสลัด) ข้าวนี่แหละจะทำให้เรามีแรง มีกำลัง ดังนั้นมากินสุกี้เราจึงสั่ง ข้าวสวย มาด้วยหนึ่งถ้วย เท่านั้นยังไม่พอ เรายังสั่ง เส้นอุด้ง มาด้วย เพื่อความหลากหลายในหม้อสุกี้ และที่ยังขาดไม่ได้คือ บะหมี่หยกราดน้ำเป็ด
อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้ เรากำลังจะปรับสู่ การลด ละ เลิก ในระดับสังคม ดังนั้นการเอื้อให้ผู้อื่นบ้าง ให้เขาได้ทดลองกินมังสวิรัติด้วยความรู้สึกไม่ลำบากจนเกินไป เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าเราไปบีบคั้น ด้วยข้อมูลมากมายว่ายังเหลือการเบียดเบียน กินเนื้อสัตว์ไม่ดี ฯลฯ อาจจะเรียกได้ว่าตึงจนเกินไป ซึ่งจริงๆแล้ว เราควรจะตึง หรือเคร่งกับตัวเองเท่านั้น และให้หย่อนกับคนอื่น ให้เมตตากับคนอื่นมากๆ มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ที่เขาจะไม่รู้ทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียจากการเบียดเบียน เรามีหน้าที่เพียงแค่บอกข้อมูลด้วยเมตตา บอกไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ บอกเนื้อหาให้เหมาะกับเขา พอที่เขาจะรับได้ เข้าใจได้ ไม่ลำบากใจจนเกินไปเขารับได้ เขาสนใจก็ยินดีกับเขา เขาไม่รับไม่สนใจ เราก็วางใจ ปล่อยวางไป
วิธีการเพิ่มชาวมังสวิรัติก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ทำตัวเองให้มั่นคงกับการกินมังสวิรัติ ไม่ย่อหย่อน หาข้ออ้างมากมายเพื่อที่จะได้กินเนื้อสัตว์อย่างสบายใจ ตัดเนื้อสัตว์ให้เด็ดขาด อย่าให้หลงเหลือแม้ความอยากในจิตใจ ให้เขาได้สงสัยในความตั้งใจของเรา ให้เขาเห็นสิ่งดีที่เกิดขึ้นจริงๆด้วยตัวเขาเอง ถ้าเราเชื่อในสัจจะว่าการไม่เบียดเบียนนำสุขมาให้ วันหนึ่งสิ่งนั้นจะแสดงผลของมันเอง และเมื่อเขาเห็นผล เข้าใจเหตุที่มาว่าทำไมจึงเกิดผลขึ้น ถึงวันนั้นเขาสนใจ เขาก็จะมากินมังสวิรัติตามเราเอง
ึความคิดเห็นล่าสุด