Tag: เนื้อสัตว์

ลดการเบียดเบียน ของดัดแปลง แปรรูป สังเคราะห์กลิ่นรส

August 6, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,766 views 0

ลดการเบียดเบียน ของดัดแปลง แปรรูป สังเคราะห์กลิ่นรส

ลดการเบียดเบียน ของดัดแปลง แปรรูป สังเคราะห์กลิ่นรส

เมื่อชาวมังสวิรัติ สามารถลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ที่เป็นรูปเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆ เช่น เนื้อสเต็ก เนื้อสัตว์ปิ้งย่าง หรือเป็นชิ้นของเนื้อสัตว์ที่ประกอบในเมนูอาหารต่างๆได้แล้ว เราก็จะเขยิบมาในขั้นต่อไปคือการ ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ที่ไม่อยู่ในรูปลักษณะเดิม แต่ถูกแปรรูป เปลี่ยนรูปไป จนเหลือแค่ กลิ่น รส ความทรงจำแค่ สิ่งนี้คือผลผลิตของเนื้อสัตว์

การลด ละ เลิก ชนิดของการเบียดเบียนเป็นลำดับชั้นจากง่ายไปสู่ยาก และละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ผู้กินมังสวิรัติไม่เครียดจนเกินไป เพราะแต่ละคนมีทุนมาไม่เท่ากัน มีกิเลสไม่เท่ากัน ดังนั้นเราควรจะประมาณตัวเองให้พอเหมาะกับการลด ละ เลิก ไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป และไม่หย่อนจนไม่เจริญ

ของดัดแปลง แปรรูปเช่น ลูกชิ้น ขนมที่ปรุงแต่งรส กลิ่น แคบหมู  หนังปลากรอบ กะปิ ปลาร้า น้ำปลา น้ำมันหอย ผงปรุงรสที่มีส่วนประกอบของปลาและกุ้ง  ฯลฯ อาหารจำพวกนี้ รูปของเนื้อสัตว์ที่ชัดเจนจะถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว กลายเป็นรูปอื่นที่เราเห็นแล้วไม่ชวนให้นึกถึงการเบียดเบียน

เช่น ขนมที่ปรุงแต่งรส อาจจะเป็นรสของปลาหมึก อาจจะมีส่วนผสมของปลาหมึกด้วย แต่เวลาที่เรากินเราจะไม่รู้สึกมากเพราะ รูปของอาหารอาจจะเป็นมันฝรั่งทอดมีเฉพาะรสและกลิ่นเท่านั้นที่เป็นปลาหมึก จึงไม่ได้ชัดเจนเท่าการกินเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆ

แคบหมู เป็นของกินเล่นที่กินกับอาหารไทยหลายๆอย่าง เช่นส้มตำ แคบหมูไม่ได้ถูกมองเป็นเนื้อสัตว์โดยตรง หรือถูกใช้เป็นเมนูอาหารใดโดยตรง แต่ถูกใช้ในรูปแบบของกินเล่น ของที่มีประกอบร่วมไปในเมนูอาหารอื่น ดังนั้นอาจจะทำให้ถูกมองข้ามไปได้ง่าย

กะปิ เป็นส่วนประกอบหลัก ของน้ำพริกหลายชนิด พริกแกงหลายชนิดจะมีกะปิผสมอยู่ ถ้าเราไปซื้อกะปิมันก็ไม่เหลือรูปของเนื้อสัตว์อยู่แล้ว และกะปิยังอยู่ในอาหารประจำวันของเราในหลายๆเมนูอีกด้วย แท้จริงแล้วส่วนประกอบหลักของมันทำมาจากกุ้งตัวเล็ก หลายชีวิตรวมกัน

น้ำปลา เกิดจากการหมักปลา น้ำปลาที่เห็นในครัวก็ไม่เหลือรูปของปลาแล้ว มีแต่น้ำใสๆ สีเข้มๆ ถ้าให้บอกว่าทำจากปลาอะไรก็คงนึกหน้ามันไม่ออกถ้าเขาไม่บอกเรามา

ผงปรุงรสที่มีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบ เช่น ปลาป่น เนื้อป่น กระดูกสัตว์ป่น ฯลฯ วัตถุดิบพวกนี้มักจะถูกมองข้ามไป แต่ถ้าหากเราใช้เวลาค่อยๆตรวจสอบดู เวลาซื้อ ลองดูส่วนผสมจะพบว่ามีส่วนของเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบร่วม

วัตถุดิบเหล่านี้ แม้จะกินเข้าไปก็แทบจะไม่รู้สึกว่ากินเนื้อสัตว์ เพราะถูกลดรูปให้เหลือแต่กลิ่น รส เท่านั้น การจะ ลด ละ เลิก วัตถุดิบเหล่านี้ถือว่าละเอียดและยากกว่าการลดเนื้อเป็นชิ้นๆ ชาวมังสวิรัติที่หัดกินใหม่ๆ ควรจะเลิกเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆให้ได้ก่อน แล้วค่อยเขยิบฐานขึ้นมา พัฒนาขึ้นมา ลด ละ เลิก ในขั้นละเอียดกว่า

เราจะเน้นการกินมังสวิรัติที่ยั่งยืน โดยลดความอยากในการกินเนื้อสัตว์และลดการเบียดเบียนชีวิตเป็นหลัก โดยมีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน โดยไม่ให้ทรมานตนเองมากจนเกินไป หรือหย่อนยานจนไม่เจริญ ดังนั้นการที่คิดว่าจะต้องเลิกทุกอย่างในทันทีที่คิดจะกินมังสวิรัตินั้น เรามองว่าไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่นำไปสู่ความเจริญ แต่จะกลายเป็นความกดดัน อึดอัด ลำบากกาย ทรมานตัวเอง จนสุดท้ายตบะแตก กลับไปกินเนื้อนั่นแหละแม้จะอดทน กดข่มได้ทั้งชาติ ก็ไม่มีความสุข ไม่เบิกบาน ไม่ใช่ผลที่เราหมายไว้

การปฏิบัติอย่างกดข่มนั้นมีปลายทางแค่ทางตันเท่านั้นสุดท้ายก็ต้องกลับมากินเมื่อทนไม่ไหว เราจึงเน้นการพิจารณาประโยชน์ในการเลิกกินเนื้อสัตว์ เพิ่มทางเลือก สิ่งทดแทน ให้ความรู้ เพื่อนำไปสู่การลด ละ เลิก เนื้อสัตว์โดยมีความสุข ความสบายใจ แม้ว่าจะไม่ได้กินเนื้อสัตว์หรือจะเห็นคนอื่นกินเนื้อสัตว์ก็ตาม

ลองจินตนาการดูสิ…ว่าถ้าคนทั้งโลกเลิกกินเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆเหล่านั้นแล้วจะดีขนาดไหน ไม่ต้องลดถึงขนาดขั้นละเอียดแบบนี้ทุกคนหรอก แค่เลิกกินเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆ ก็จะค่อยๆ ลดการเบียดเบียนที่จะเกิดขึ้นแล้ว เพราะวัตถุดิบที่ถูกแปรรูปเหล่านี้ เป็นผลพวงจากการที่เรายังกินเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆนั่นแหละ

เราไม่ได้กินเนื้อสัตว์เพราะเราอยากกินมัน สังเกตได้ว่าแม้บางคนจะรับรู้ความโหดร้ายของกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ แต่เขาก็ยังอยากกินเนื้อสัตว์อยู่ ความเมตตากับความอยากมันคนละตัว แม้จะเมตตามากแค่ไหนก็ไม่สามารถเอาไปตัด ไปลบ ไปทำลายความอยากได้โดยตรง เขากินเนื้อสัตว์เพราะมันมีรสอร่อยเกิดในวิญญาณของเขา ต้นเหตุจริงๆ มาจากกิเลสของเขา ถ้าไม่ทำลายความอยาก ไม่ดับที่เหตุ ไม่ทำลายกิเลสนั้น ก็ไม่มีทางที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้อย่างยั่งยืนแน่นอน

เนื้อสัตว์ พืชผัก ความรู้สึกหลังจากกินมังสวิรัติแล้ว

July 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,536 views 0

เนื้อสัตว์ พืชผัก ความรู้สึกหลังจากกินมังสวิรัติแล้ว

ความแตกต่างระหว่างกินเนื้อกับกินผัก

หลายๆคนที่หันมาลองกินมังสวิรัติคงจะรับรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อเราเปลี่ยนมากินมังสวิรัติการรับรู้ที่เคยมีก็เปลี่ยนไป ทั้งๆที่เนื้อสัตว์กับผักยังมีรสชาติและคุณค่าเหมือนอย่างที่มันเคยเป็นไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นตัวเราเองที่เปลี่ยนไป เราจะมาแบ่งปันความความรู้สึกระหว่างการกินเนื้อสัตว์กับผักในสามช่วงเวลาคือ 1. ยังไม่กินมังสวิรัติ 2. กินมังสวิรัติได้เป็นประจำ 3.กินมังสวิรัติได้อย่างเป็นสุข… ลองมาอ่านกัน

1.เมื่อสมัยยังไม่กินมังสวิรัติ

ชาวมังสวิรัติส่วนใหญ่นั้นก็เคยเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์กันมาทั้งนั้น สมัยยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็รู้สึกว่ามันอร่อย เลือกหาร้านอาหารที่ขายเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย มีชื่อเสียง พืชผักนี่แทบจะไม่อยู่ในสายตา แม้จะอยู่ในจานก็ไม่เคยสนใจ เรามักจะกินเนื้อสัตว์ก่อนเสมอ ส่วนผักจะเหลือทิ้งไว้ก็ไม่มีใครใส่ใจ เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในทุกมื้ออาหาร ขาดไปเมื่อไหร่เหมือนชีวิตช่างดูอับจน ต้องมากินแต่ผัก ส่วนผักจะมีหรือไม่มีก็ได้เห็นคุณค่าเป็นเพียงแค่วิตามินส่วนเสริม ไม่ได้จำเป็นอะไรนัก มองไปยังคนที่กินมังสวิรัติว่า อยู่กันได้ยังไง ใช้ชีวิตมังสวิรัติกันไปได้อย่างไร กินเนื้อมีความสุขจะตาย จะเลิกกินไปทำไม

ในช่วงนี้เราจะลำเอียงไปทางเนื้อสัตว์ เพราะเราชอบ เราอยากกินเนื้อสัตว์ จากความเคยชิน รสอร่อยที่เราติดยึด กินเนื้อจะอร่อย กินผักก็เฉยๆ ก็แค่พืชผัก ในตอนนี้ เนื้อสัตว์จะเป็นพระเอก พืชผักจะเป็นตัวประกอบ

2. เมื่อเรียนรู้และสามารถกินมังสวิรัติได้เป็นประจำ

วันหนึ่งคนทั่วไปที่เคยหลงติด หลงเข้าใจไปว่าเนื้อสัตว์อร่อยมีคุณค่าจำเป็นต่อชีวิต ก็ได้รับความรู้ใหม่ คือโทษจากการกินเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การเบียดเบียน กระทั่งเรื่องของกิเลสและกรรม หรือความรู้อื่นๆ ก็ทำให้เขาตัดสินใจ ลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ จนสามารถปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม กินมังสวิรัติได้เป็นเวลานานและติดต่อกัน โดยไม่กลับไปแตะต้องเนื้อสัตว์เลย พบกับความสุขที่ไม่ต้องไปกินเนื้อสัตว์แล้ว มองไปยังคนที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ว่า กินเนื้อสัตว์กันไปได้อย่างไร มันทั้งเบียดเบียน และทำให้เสียสุขภาพ ฯลฯ

ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากการกินเนื้อสัตว์มาสู่มังสวิรัตินี้ เราจะเริ่มลำเอียงไปทางพืชผัก น้ำหนักที่เคยเอียงไปทางด้านเนื้อสัตว์จะค่อยๆลดลงและพืชผักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราชอบพืชผักด้วยที่มันมีประโยชน์ ไม่เบียดเบียน และเราเกลียดการกินเนื้อสัตว์ ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ เพราะมันเบียดเบียนกินพืชผักจะอร่อย กินเนื้อสัตว์จะไม่อร่อย ในตอนนี้ พืชผักจะเป็นพระเอก เนื้อสัตว์จะเป็นผู้ร้าย

3. เมื่อเรากินมังสวิรัติได้อย่างเป็นสุข

เมื่อเรากินมังสวิรัติเป็นประจำ และสามารถลด ละ เลิก ความยึดดี ถือดี ถือตัวถือตน ความติดดีในการกินมังสวิรัติได้แล้ว เราก็จะสามารถมองเนื้อสัตว์และพืชผัก เป็นอย่างที่มันเป็นตามความเป็นจริง โดยไม่มีความลำเอียงไปในด้านรักเนื้อสัตว์ไม่สนพืชผัก หรือรักพืชผักเกลียดเนื้อสัตว์เพราะเข้าใจเหตุปัจจัยที่ส่งผลแก่กันและกัน ในคนที่ยังกินเนื้อสัตว์และสัตว์ที่ต้องตายไปเพื่อคนที่กินเนื้อสัตว์

เราจะเลือกกินแต่สิ่งที่มีคุณค่าแท้ต่อร่างกายและจิตใจ จะเข้าใจถึงโทษและประโยชน์โดยปราศจากความลำเอียง ความรักชอบ เกลียดชังใดๆ เป็นเสมือนตราชั่งที่ตั้งไว้เสมอกันไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่เมื่อวางเนื้อสัตว์กับผักลงไปในแต่ละฝั่งแล้ว ตราชั่งจะเอียงไปในด้านที่มีคุณค่าที่มากกว่า ซึ่งเป็นคุณค่าต่อตนเอง ต่อผู้อื่นหรือสัตว์อื่น ต่อสังคมและโลก

ในช่วงนี้เราไม่ได้ลำเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เราเลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์แท้ เราจึงกินอร่อยด้วยคุณค่า ไม่ใช่ด้วยความอยากหรือไม่อยาก ในตอนนี้ ผักจะเป็นตัวเลือกแรก และเนื้อสัตว์จะเป็นตัวเลือกสุดท้ายหรืออาจจะไม่ใช่ตัวเลือกเลยก็ได้ แล้วแต่ว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เป็นกุศลสูงสุดในขณะนั้น

เมื่อกินมังสวิรัติอย่างมั่นคงมาได้แล้ว ทดลองกลับไปกินเนื้อ จะรู้สึกถึงความแตกต่างชัดเจนขึ้นโดยจะให้คุณค่าในทางมังสวิรัติมากกว่า เพราะการกินผัก จะทำให้ร่างกายเบา สบาย ย่อยง่าย ขับถ่ายง่าย ต่างจากตอนกินเนื้อ ซึ่งทำให้รู้สึกอึดอัด แน่น ท้องตึง ย่อยยาก รวมถึงขับถ่ายยาก ผู้กินสามารถใช้ร่างกายของตัวเองเป็นห้องทดลองได้ เราจะได้รู้ข้อดีของการกินมังสวิรัติ และข้อเสียของการกินเนื้อสัตว์ด้วยร่างกายของเราเองโดยไม่มีความลำเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่ง แต่รับรู้ด้วยร่างกายตามที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่แค่ได้ยินได้ฟังเขามา

อ่านมาจนถึงตรงนี้ แล้วคุณล่ะ รู้สึกอย่างไรกับเนื้อสัตว์ รู้สึกอย่างไรกับผักหรือการกินมังสวิรัติ ? กินแล้วมีความสุขอยู่ไหม? เห็นคนกินเนื้อแล้วยังอยากกินกับเขาอยู่ไหม? หรือรู้สึกไม่ชอบ ยังชัง ยังรู้สึกไม่ดีที่เขายังกินเนื้อบ้างไหม? เลือกแบ่งปันประสบการณ์กันได้ตามสะดวกเลย

มังเขี่ย : ข้าวผัดหมู

July 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,274 views 0

มังเขี่ย : ข้าวผัดหมู

มังเขี่ย~ (ข้าวผัดหมู)

วันก่อนได้กินมังเขี่ย (ปกติกินที่บ้านก็ไม่ต้องเขี่ย) แต่ครั้งนี้มาบ้านเขา เราก็มังเขี่ย!! หน้าตาก่อนจะมาเป็นรูปนี้คือข้าวผัดหมู ที่มีแตงกวา มะเขือเทศ และข้าวผัดหมูหน้าตาดี แต่ลืมถ่ายรูปไว้

มังเขี่ย นี่เป็นอะไรที่พูดกันได้ง่ายๆ แต่ทำจริงๆยาก เพราะนอกจากต้องสู้กับความอยากของตัวเองแล้ว ยังต้องสู้กับคำพูดทดสอบความตั้งใจของเราซึ่งเป็นของขวัญจากผู้อื่นด้วย ว่าเราจะยังเกรงใจอยู่ไหม ยังกังวลว่าเขาจะลำบากใจอยู่ไหม ไม่ใช่บอกว่าเรามังเขี่ย แต่เวลาไปกินกับชาวบ้าน เราก็กินตามเขาหมด อันนี้ก็ให้เพียรพิจารณาว่าจริงๆ แล้ว…

…เรากินตามปากเราหรือปากชาวบ้าน

…จริงๆเราอยากกินเนื้อสัตว์ แล้วเอาคำว่าเกรงใจมากลบเกลื่อนรึเปล่า

…เราไปกังวลกับเรื่องที่เขาพูด หรือเรื่องที่เขาคิดไหม?

…เราไม่กินเนื้อสัตว์นี้ คนอื่นเขาก็ไม่เดือดร้อนนี่?

…แล้วถึงเขาจะเดือดร้อน แล้วมันเรื่องอะไรที่เราต้องไปเดือดร้อนตามล่ะ?

…ถึงจะเขี่ยทิ้งแล้วเป็นของเหลือ แล้วมันยังไงล่ะ เดี๋ยวมันก็มีที่ไปของมันเองแหละ

สุดท้ายแล้ว ถ้าเราตัดความอยากกินเนื้อสัตว์และความกังวลเกี่ยวกับสังคมได้ ก็กินมังเขี่ยได้สบายเลยล่ะ

ลดการเบียดเบียน ลดนม ไข่ เนย น้ำผึ้ง

July 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,151 views 0

ลดการเบียดเบียน ลดนม ไข่ เนย น้ำผึ้ง

ลดการเบียดเบียน ลดนม ไข่ เนย น้ำผึ้ง

บทความนี้จะเหมาะกับชาวมังสวิรัติผู้เลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว อยากพัฒนาขึ้นในขั้นต่อไปเพื่อลดการเบียดเบียนผู้อื่นลง ซึ่งอาจจะทำได้ยากสำหรับผู้หัดกินมังสวิรัติ แต่ก็สามารถที่จะทำได้หากมีเจตนาที่จะลดการเบียดเบียนอย่างตั้งมั่น

เมื่อชาวมังสวิรัติมีพัฒนาการ ในการลด ละ เลิกมาได้ถึงระดับการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา อาหารทะเลและอื่นๆ ที่เป็นรูปแบบเนื้อสัตว์ที่ต้องพรากชีวิตมา ถึงจะได้กินก็ยังคงรู้สึกว่ามีความสุขอย่างปกติ ไม่มีการพลั้งเผลออยากกลับไปกินเนื้อเป็นชิ้นๆอีก เราก็จะมาลดการเบียดเบียนในขั้นต่อไปคือ นม ไข่ เนย น้ำผึ้ง ฯลฯ

การกิน หรือใช้ นม ไข่ เนย น้ำผึ้ง ฯลฯ ไม่ได้เกี่ยวกับการฆ่าโดยตรง แต่ก็มีผลโดยอ้อมซึ่งอาจจะมีผลไปถึงการฆ่าก็เป็นได้ และยังเป็นการเบียดเบียนซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ ความลำบากมากมายต่อชีวิตสัตว์

เราอาจจะคิดไปว่า เราไม่ได้ฆ่า เราก็ไม่บาป แต่การคิดเช่นนั้นเป็นการคิดที่ยังไม่รอบคอบเท่าใดนัก เพราะว่าการที่เราไปกักขัง แย่งเอาของรักของเขา คือการเบียดเบียนเมื่อมีการเบียดเบียนก็ทำให้เกิด ทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียต่อชีวิตเราเอง เพราะการเบียดเบียนผู้อื่นทำให้เรามีโรคมาก มีอายุสั้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นผู้นำสิ่งนั้นมาเอง แต่ก็มีส่วนในการบริโภคสิ่งที่เบียดเบียน แล้ววิบากกรรมนี้จะไปไหนเสีย เราก็ได้รับไปเต็มๆพร้อมกับตอนที่เราคิดจะเสพนั่นเอง

นม ไข่ เนย น้ำผึ้ง เบียดเบียนอย่างไร

จะลองยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพของการเบียดเบียนเหล่านี้ เช่น นม  นมในที่นี้จะเป็นนมจากสัตว์ จะขอยกตัวอย่างเป็นนมวัว

นมวัว เราต้องเลี้ยงวัว กักขังวัว ให้อยู่ในเขตที่เรากำหนดไว้ อาจจะเน่าเหม็น ร้อน อับชื้น แม้จะมีอาหารมาป้อนให้ แต่ก็ต้องถูกรีดนมด้วย เหมือนพนักงานบริษัทที่ถูกให้อยู่แต่ในออฟฟิศ นอนในออฟฟิศ มีอาหารให้ แต่ไม่ให้ออกไปไหน ทำงานตั้งแต่เด็กจนแก่อยู่ในนั้น ยิ่งเราบริโภค นมวัว มากขึ้นเท่าไหร่ รูปแบบการเบียดเบียนจะยิ่งหลากหลาย ยิ่งมากขึ้นไปตามละดับ เพราะผู้ผลิตก็ต้องหาวิธี ที่จะทำให้ได้มาซึ่งน้ำนมมากๆ แต่ใช้ต้นทุนน้อยลง สุดท้ายภาระก็จะตกไปที่วัวนั่นเอง เราสามารถหาสิ่งทดแทนนมวัวได้ เช่น นมถั่วเหลือง นมจากพืชต่างๆ เพื่อลดการเบียดเบียนวัว แพะ ฯลฯ และลดผลกระทบอีกมากมายในอุตสาหกรรมการผลิตนมจากสัตว์

เนย คือ ผลิตภัณฑ์ ที่สร้างมาจากนม ไม่ว่าจะเนยเหลว หรือเนยแข็งจำพวกชีส ในกระบวนการสร้างเนยไม่ได้เป็นการเบียดเบียนสัตว์แล้ว แต่ก็ยังมีที่มาจากนม ซึ่งหากเรายังต้องการใช้เนย ก็สามารถใช้เนยเทียม เช่น มาการีน ทดแทนได้ แน่นอนว่า กลิ่น รส อาจจะต่างไปบ้าง และแน่นอนเหมือนกันว่าผลของการเบียดเบียนก็ต่างไปด้วย

ไข่ จะยกตัวอย่างเป็นไข่ไก่ เวลาเรานึกถึงไข่ไก่ ภาพก็อาจจะออกมาเป็นภาพของไก่ที่เดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน กินอยู่อย่างธรรมชาติและออกไข่อย่างธรรมชาติ อย่างมากก็มีกรงใหญ่ๆกันไว้ไม่ให้ไก่ได้รับอันตรายจากหมาหรืองู เป็นภาพการเลี้ยงไก่ที่เห็นโดยทั่วไปในชนบท

แต่การผลิตไข่ไก่ เพื่อคนจำนวนมากใช้วิธีดังกล่าวไม่ได้ ฟาร์มไก่เป็นแหล่งผลิตไข่ไก่ในปัจจุบัน แม้จะมีมาตรฐานมากมาย แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับไก่ที่ถูกขังอยู่ในช่องแคบๆ ทำได้แค่กินหัวอาหาร และน้ำ แล้วออกไข่ เป็นงานประจำที่น่าเบื่อ ลองนึกดูว่าถ้าเราต้องทำงานอยู่แค่โต๊ะคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ทำได้อย่างมากแค่ลุกขึ้นยืน แต่บิดขี้เกียจไม่ได้เพราะไม่มีพื้นที่ มีอาหารให้กิน ขับถ่ายลงบ่อข้างล่าง และนอนตรงนั้น ทำอย่างนี้ไปตั้งแต่เกิดจนแก่ พอแก่เกษียณอายุงานแล้วเขาก็ไม่ได้ปล่อยไปแบบดีๆ  เหมือนกับไก่ไข่ที่หมดศักยภาพในการออกไข่ ความตายจะไปไหนเสีย เพราะถ้าเลี้ยงไว้ก็จะเปลืองอาหาร เขาก็จะเปลี่ยนไก่ตัวนั้นเป็นสินทรัพย์ นั่นคือเอาไปฆ่าแล้วขายให้เรากินนั่นเอง

การที่เรายังกินไข่ไก่ เราก็ยังมีส่วนกักขัง ทรมาน จนถึงมีผลต่อการฆ่า ครบองค์ประกอบแบบนี้ไม่ต้องห่วงอีกเหมือนกันว่าจะต้องรับกรรมไหม โดนเต็มๆแน่นอน และแม้ว่าเราจะบอกว่าเราบริโภคไข่ออแกนิค เป็นไก่ที่ถูกเลี้ยงอย่างธรรมชาติ ให้อาการตามธรรมชาติ ไม่ใช่หัวอาหารที่สังเคราะห์มา เราก็ยังต้องรับส่วนแห่งบาปอันคือการเบียดเบียนนั้นอยู่ มีไก่ตัวไหนที่ไข่แล้วไม่ไปกกไข่บ้าง โดยสัญญาติญาณแล้วไก่ก็จะรับรู้ได้ว่าเมื่อไข่แล้วก็ต้องไปกกไข่ การไปกกไข่คือความรับผิดชอบ ความรัก ความห่วงใยของแม่ไก่ การที่เราไปนำไข่ออกมาก็เหมือนไปแย่งชิงของรักของไก่มา ไก่มันไม่รู้หรอกว่าไข่ฟองนั้นจะฟักหรือไม่ฟัก มันรู้แค่ว่าไข่ออกมาแล้วมันต้องกก มันทำตามธรรมชาติของไก่ ไม่ได้ทำตามความคิดของคนที่ว่าไก่ต้องไข่ให้เรากิน ดังนั้นการไปแย่งชิงของรักของเขา ของที่เขาไม่ยินดีให้ จะไม่ถือเป็นการผิดศีลข้อ ๒ คือการลักขโมย หรือเอาของที่ผู้อื่นไม่ยินดีให้ได้อย่างไร

เราไม่จำเป็นต้องหาสิ่งทดแทนไข่ไก่ เพราะไม่ว่าจะเป็นไข่เป็ด ไข่นกอะไรก็ตาม ก็ถือเป็นการแย่งชิง เบียดเบียนเช่นกัน เราสามารถหาธาตุอาหารทดแทนได้จากธัญพืช แน่นอนว่าอาจจะไม่เหมือน ไม่ครบถ้วน แต่จริงๆแล้วชีวิตเราไม่จำเป็นต้องได้รับสารอาหารทุกอย่าง เราก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้ เพราะการไม่เบียดเบียนทำให้มีโรคน้อย ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าการได้รับธาตุอาหารมากแต่ก็มีโรคมาก

น้ำผึ้ง วัตถุดิบที่ถูกใช้อย่างมากในอาหารจำพวกของหวาน หรือแม้แต่การเสริมความงาม การที่จะได้น้ำผึ้งมา ก็จะแบ่งง่ายๆ เป็นสองแหล่ง หนึ่งคือไปแย่งชิงจากธรรมชาติมา สองคือสร้างธรรมชาติจำลองมาแล้วให้ผึ้งทำงานสร้างรังในที่ของเรา สุดท้ายก็เก็บค่าเช่าเป็นรังผึ้งที่เขาสร้าง อาจจะลองนึกถึงเหตุการณ์ที่ว่า เราทำงานเอาเงินทั้งหมดมาซื้อบ้าน ค่อยๆแต่งบ้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งต่อเติมจนยิ่งใหญ่ สวยงามน่าอยู่ สะดวกสบาย เมื่อวันที่ใกล้จะผ่อนบ้านหมดก็เกิดวิกฤตทางการเงิน สุดท้ายก็โดนธนาคารมายึดบ้านไป เรื่องนี้ก็คงจะคล้ายๆกับเรื่องของผึ้งที่สร้างรังจนยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็โดนคนมาพราก มาขโมยเอาไป ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าการลักขโมย การเบียดเบียนนั้นไม่ผิด

ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นการเบียดเบียนที่น้อยกว่าการเสพเนื้อสัตว์โดยตรง อาจจะหลุดจากแนวคิดมังสวิรัติไปบ้าง แต่จุดประสงค์ของเราคือการลดการเบียดเบียน ซึ่งคงต้องพัฒนาให้เบียดเบียนน้อยลงเรื่อยๆจนถึงวันหนึ่งที่เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เบียดเบียนโลกน้อยที่สุด แต่กลับสร้างประโยชน์ ช่วยคนอื่น ช่วยอนุเคราะห์โลก เป็นประโยชน์ สร้างความสุขแก่โลกนี้ได้มากที่สุด

มังเขี่ย

July 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,759 views 0

มังเขี่ย

การใช้ชีวิตมังสวิรัติในสังคมปัจจุบันนั้น เราอาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการกินมังสวิรัติสักเท่าไรนัก คงมีหลายครั้งที่เราต้องเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ที่ไม่ได้กินมังสวิรัติ จะทำอย่างไรให้เรากินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจ

มังเขี่ย คือกลยุทธ์หนึ่งในการกินมังสวิรัติ เมื่อเราต้องกินอาหารร่วมโต๊ะกับผู้คนที่หลากหลาย ก็ย่อมมีอาหารที่หลากหลายตามไปด้วยมีทั้งเนื้อสัตว์ทั้งผักปนเปกันไป เมื่อเห็นเช่นนั้น เราจึงใช้การกินมังสวิรัติแบบเขี่ย คือเขี่ยเอาเนื้อสัตว์ออกไป และเขี่ยผักเข้ามา เมื่อเรามีจิตใจที่ตั้งมั่นในการกินมังสวิรัติ เราย่อมไม่หวั่นไหวต่อเนื้อสัตว์ที่อยู่ตรงหน้า ยินดีที่จะละเว้นเนื้อสัตว์และพยายามเอาตัวรอดโดยการกินแต่ผัก

และแม้ว่าอาหารที่เราสั่งนั้นจะมีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบร่วม เราก็สามารถเขี่ยเนื้อออกไป โดยยกให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่ยังกินเนื้ออยู่ หรือจะเลือกละเว้นไว้ก็ได้ ถ้าให้ดีที่สุดก็เลือกที่จะสั่งอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และถึงแม้เราว่าจะไม่กินเนื้อเหล่านั้น สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นอาหารของใครสักคนแน่ๆ ถึงไม่ใช่ใครสักคนก็อาจจะเป็นสัตว์สักตัว หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารจุลินทรีย์ไป ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังยินดี ที่เราจะไม่ไปเสพผลของการเบียดเบียน ซึ่งจะกลับกลายมาเป็นวิบากกรรมของเราเองในวันใดวันหนึ่ง

มังเขี่ย ในอีกนัยหนึ่ง คือการเขี่ยเนื้อออกไปจากชีวิต และเขี่ยผักเข้ามาในชีวิต เราเลิกที่จะต้อนรับเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ไปโดยลำดับ เริ่มเรียนรู้การทดแทนอาหารต่างๆด้วยพืชผัก จนกระทั่งเราสามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยพืชผักได้อย่างลงตัว มีความสุขกาย เบากาย มีกำลัง มีความยินดีในการลด ละ เลิกเนื้อสัตว์และการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นโดยไม่มีความโหยหา คิดถึง ในเนื้อสัตว์ที่เคยยึดติดอีกต่อไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มังเขี่ยนั้นไม่ได้ทำได้ง่ายอย่างใจคิด ทุกครั้งที่เราจะเขี่ยเนื้อออกไป เขี่ยผักเข้ามา เราต้องสู้กับกิเลสที่เราผูกมานานแสนนาน เรากินเนื้อสัตว์มาทั้งชีวิต โตขึ้นมาก็เพราะกินเนื้อสัตว์ ความทรงจำในชีวิตมีแต่เนื้อสัตว์ หิวทีไรก็นึกถึงแต่เนื้อสัตว์ ดังนั้นในทุกๆคำที่เราจะเขี่ยผักเข้ามาแทนที่เนื้อ เราต้องสู้กับกิเลสของเราอย่างแน่นอน จะแพ้บ้าง ชนะบ้าง ก็ไม่เป็นไร ให้เราตั้งใจพิจารณาโทษของการกินเนื้อ ความทุกข์ โรค ภัยที่เกิดกับร่างกายของเรา กรรมชั่วที่เราจะได้รับจากการมีส่วนเบียดเบียนในชีวิตอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเราเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าการกินมังสวิรัตินี่แหละดีที่สุด วันนั้นเราจึงจะสามารถกินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องโหยหาเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์อีกต่อไป

คนที่กินมังสวิรัติหลายๆคน ต่างก็เคยเป็นคนที่กินเนื้อสัตว์ เคยเสพติดความอร่อยจากเนื้อสัตว์ ชีวิตประจำวันมีแต่อาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ แต่ทำไมวันนี้พวกเขาเหล่านั้นกลับเลือกที่จะเขี่ยเนื้อสัตว์ออกจากชีวิต และหันมาเขี่ยผักเข้าปากแทน มันน่าสนใจไหม ว่าทำไมเขาถึงยอมทิ้งสิ่งที่เคยคิดว่าดี คิดว่าสุขเหล่านั้น หรือเป็นเพราะว่า พวกเขาเจอสิ่งที่ดีกว่า?