Veggie Bear (Author's Website)
กินจืดดีอย่างไร
กินจืดดีอย่างไร
พอพูดกันถึงอาหารจืด หลายคนก็คงจะส่ายหัวส่ายหน้ากับอาหารที่ไร้รสชาติ ให้กินฟรีก็คงไม่เอา ใครเล่าจะอยากกินอาหารจืด โลกทุกวันนี้มีแต่คนแสวงหาอาหารอร่อย อาหารรสเด็ด อาหารที่รสดีจนยากจะลืมเลือน จนลืมไปเลยว่าโลกนี้ก็มีรสจืดอยู่เหมือนกันนะ
พอคิดถึงอาหารรสจืด อาหารที่ดูจืดๆชืดๆ ก็พาให้นึกถึงอาหารในโรงพยาบาล อาหารคนป่วย ทำไมคนที่ป่วยควรจะกินอาหารจืด แล้วทำไมคนที่สุขภาพดีจึงไม่กินอาหารรสจืด อาหารรสจืดดีอย่างไร เราลองมาแลกเปลี่ยนกัน
1.กินจืดประหยัด
เมื่อเราเลือกกินอาหารจืด ถ้าเราทำอาหารกินเอง เครื่องปรุงที่ใช้จะถูกลดปริมาณลง ความหลากหลายของเครื่องเทศจะลดลง เราจะลด กลิ่น รส ลงในปริมาณที่ไม่จัดจ้านมากเกินไป นำมาซึ่งความประหยัดในค่าใช้จ่ายในเรื่องเครื่องปรุง
และจะยิ่งประหยัดขึ้นอีกเมื่อเรากินอาหารนอกบ้าน หากเราเป็นคนที่กินจืดได้อย่างปกติ เราก็จะเลือกกินอาหารที่มีคุณค่า ไม่ต้องไปตระเวนหาร้านอร่อย ที่มีราคาแพง ระยะทางไกล ต้องต่อคิวนาน กันอีกต่อไป ในเมื่อเรากินจืดแล้ว จะร้านที่เขาว่าอร่อยร้านไหนก็จะไม่อร่อยเหมือนกันหมด นั่นก็เพราะคนที่กินจืดได้อย่างปกติจะกินอาหารรสจัดลำบาก นั่นทำให้รสชาติที่ทำให้รู้สึกดีที่สุดคือรสจืด สุดท้ายก็กลับมากินร้านอาหารที่รู้ใจกับแม่ครัวที่คุ้นเคยกันเหมือนกัน ประหยัดทั้งค่าอาหารและค่าเดินทางแล้วยังประหยัดเวลาอีก
2.กินจืดสุขภาพดี
การกินอาหารที่มีการปรุงแต่งน้อย หรือมีรสจืด จะทำให้ร่างกายไม่ต้องรับภาระในการขจัดของเสียที่มากเกินไป ไตไม่ต้องทำงานหนัก มีผลทำให้ร่างกายสามารถนำพลังงานที่จะไปย่อยหรือไปจัดการกับสารอาหารส่วนเกิน เปลี่ยนมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอแทน จึงทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ไม่ป่วยง่าย ห่างไกลจากโรคอ้วน โรคไต และโรคที่เกิดจากการกินอื่นๆอีกมากมายรวมไปถึงมะเร็งด้วย
เมื่อเรามีสุขภาพดี ก็จะทำให้เราประหยัดค่ารักษาพยาบาล ค่าหมอ ค่าจิปาถะต่างๆที่เกิดจากการเจ็บป่วยจากการกินอาหารรสจัด ดังนั้นการกินอาหารจืดจึงเป็นหลักประกันสุขภาพที่ดี เป็นการทำประกันสุขภาพที่ไม่ต้องจ่ายเบี้ยรายปี ไม่ต้องลงทุน เพียงแค่สละความอยากกินอาหารรสจัดออกไป
และเมื่อเรากินอาหารจืดไปนานวันเข้า จะพบว่าลิ้นสามารถรับรสได้ดีขึ้น ละเอียดขึ้น สามารถรับรู้ได้ถึงรสชาติที่มีอยู่ในวัตถุดิบต่างๆได้อย่างละเอียดละออมากขึ้น เมื่อเรากลับไปกินรสจัดอย่างเดิมก็อาจจะพบว่าเราไม่สามารถกิน เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เผ็ด จัดได้อย่างเดิมอีกต่อไป เราจะรู้ได้เองว่ารสมันจัดเกินจะกินไหว จนอาจจะกลายเป็นภัยต่อสุขภาพ
3.กินจืดมีความสุข
การกินจืดนั้น ยังมีผลที่น่าสนใจคือความสุขจากการไม่เสพ เมื่อเราสามารถกินจืดได้อย่างปกติหรือกินจืดได้อย่างมีความสุข เราจะไม่ต้องการไปกินอาหารรสจัดอีก ถึงจะไปกินอาหารรสจัดก็จะไม่รู้สึกสุขเหมือนเมื่อก่อน แต่เมื่อกินรสจืดกลับรู้สึกมีความสุข มีความสุขได้แม้จะไม่ได้กินอาหารที่อร่อย ถึงจะต้องกินอาหารที่ไม่มีรสชาติขนาดไหนก็ยังมีความสุขได้
ต่างจากคนที่ติดรสอร่อย หรืออาหารรสจัด เขาจะต้องทุกข์เมื่อไม่ได้กินของอร่อย และทุกข์มากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อของที่เคยอร่อยกลับไม่อร่อย จนต้องแสวงหา เสียเวลา เสียเงิน ไปหาของอร่อยกิน ได้กินก็เกิดสุข แต่สุขจากเสพนั้นไม่นานก็หายไป แม้ไม่ได้กินก็ทุกข์ หรือได้กินแต่ไม่อร่อยสมอยากก็ทุกข์อีกมีแต่ทุกข์กับทุกข์
คนกินจืดจะพ้นจากความทุกข์ที่จะเกิดเหล่านี้ เป็นความสุขแบบเรียบๆที่เราจะได้รับ สุขแบบยั่งยืน สุขจากการไม่ได้กินอาหารรสจัด สุขจากการไม่เสพความอร่อย เป็นสุขที่สวนกระแสโลก สวนกระแสกิเลส เป็นสุขที่พาให้เกิดความเจริญ
….การกินจืดนั้น ยังมีประโยชน์ต่อเราและคนอื่นอีกมากมายนัก เมื่อเห็นประโยชน์ของการกินจืดดังนี้ เราจึงควรพิจารณาข้อดีของการกินจืด และข้อเสียของการกินอาหารรสจัด เพื่อที่จะเข้าสู่การกินจืดอย่างมีความสุข เพื่อความประหยัด เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อความสุขที่ยั่งยืน
ลดเนื้อกินผัก ลดชนิดอาหาร : ไม่ติดมากก็เลิกไปได้เลย
ลดเนื้อกินผัก ลดชนิดอาหาร : ไม่ติดมากก็เลิกไปได้เลย
ผู้ที่ลดเนื้อสัตว์หันมากินผัก เมื่อปฏิบัติตามกระบวนการลด ละ เลิก ด้วยการพิจารณาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียต่างๆ จากการกินเนื้อสัตว์จนสามารถลดการกินเนื้อสัตว์ได้ สามารถกินผักได้เพิ่มขึ้น สามารถละเนื้อสัตว์ได้เป็นช่วงเวลาที่นานมากขึ้น และเมื่อได้ลดละเนื้อสัตว์กินแต่ผักมาสักระยะหนึ่งจนเกิดความรู้สึกว่า แม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ก็ไม่มีความทุกข์ใจ กระวนกระวายใจ หรือความอยากกินใดๆ ก็ให้ลองตัดเนื้อสัตว์ชนิดนั้นออกไปได้
ยกตัวอย่างเช่น เราลด ละ เลิกเนื้อวัว เราไม่กินเนื้อวัวแล้ว ไม่ได้กินก็ไม่กระวนกระวาย ไม่ทุกข์ใจอะไร เราก็ลองเลิกเนื้อวัวแบบตัดขาดจากชีวิตได้เลย ถ้าเลิกแล้วยังรู้สึกสบายดีก็ให้เลิกไปได้เลย
แต่ถ้าเลิกแล้วยังมีความรู้สึกคิดถึง ยังเห็นเมนูเนื้อวัวแล้วน้ำลายไหล อยากกินเนื้อวัวชิ้นนั้นๆ ก็ให้พิจารณาผลเสียไปเรื่อยๆ ความอยากกินนั้นจะลดลงเอง จนมั่นใจได้ว่าแม้จะมีเนื้อสเต็กราคาแพงมาอยู่ตรงหน้า ให้กินฟรีๆเลยนะ ฉันก็จะสั่งอย่างอื่นมากินโดยไม่ได้สนใจสเต็กเนื้อชิ้นนั้นเลย ปล่อยมันวางอยู่ข้างหน้าอย่างนั้นแหละ แต่ไม่กิน ไม่รู้สึกรำคาญ ไม่กระวนกระวาย ไม่รัก ไม่ชัง ไม่รู้สึกดึงดูด ไม่รู้สึกว่าผลักไส รู้สึกแค่ว่ามันก็เป็นของมันอย่างนั้น แล้วเราก็กินผักต่อไปได้ปกติ เลิกกินก็ไม่คิดฟุ้งซ่าน เพราะมั่นใจว่าที่ทำนั้นดีแล้ว
เมื่อเราเลิกเนื้อวัวได้ เราก็มาเลิกเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา กุ้ง ปู ปลาหมึก หอย ไข่ นมสัตว์ น้ำผึ้ง ฯลฯ โดยใช้กระบวนการลด ละ เลิก ตามลำดับเหมือนเดิม แต่ถ้าจิตใจเข้มแข็งก็อาจจะสามารถเลิกพร้อมกันได้หลายชนิดก็ได้ ทั้งนี้ผู้ลดเนื้อกินผัก ควรประมาณกำลังของตัวเองให้เหมาะสม ไม่ให้หย่อนจนไม่เจริญ ไม่ให้ตึงจนทรมาน
ลดชนิดอาหาร…
เมื่อเลิกเนื้อสัตว์ที่มีลักษณะเป็นชิ้นๆได้แล้ว เราก็จะมาลดอาหารที่ไม่มีรูปลักษณะของเนื้อสัตว์นั้นๆ เช่น น้ำซุป น้ำมันหอยในผัดผัก น้ำปลาในน้ำแกง เป็นต้น
ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเรากินก๋วยเตี๋ยว ใส่เส้นกับผัก แต่ยังมีน้ำซุปที่มีกระดูกสัตว์เป็นส่วนประกอบอยู่ เราก็พิจารณาว่าการมีกระดูกสัตว์ก็ยังมีส่วนเบียดเบียนเขาอยู่ ยังเกิดทุกข์โทษภัยอยู่ เราก็จะลด ลงมาเป็นการสั่งก๋วยเตี๋ยวแห้ง คือให้เขาลวกเส้นกับผักให้เท่านั้น ถ้าทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบากจิตใจมากไปนัก ก็ลองเลิกกินแบบเดิมๆ หันมากินก๋วยเตี๋ยวแห้งใส่แต่เส้นกับผักดู ส่วนเขาจะมีสิ่งอื่นในประกอบให้อย่างไรก็ต้องพิจารณาไปเป็นครั้งๆเป็นรายๆไป ตามแต่สูตรของแต่ละร้าน เช่น ถ้าเขามีถั่วเราก็ขอรับ แต่ถ้าเขาเสนอกากหมูเราไม่รับ เป็นต้น
เมื่อเราพัฒนาการลด ละ เลิก ในรายละเอียดของชนิดอาหารนั้นๆได้แล้ว ก็ให้พัฒนาต่อเป็นการลด ละ เลิกชนิดอาหารนั้นๆต่อกันเลย
ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเราชอบกินผักทอด ขนมทอด เราก็ลดปริมาณการกินลงมา จนสามารถละได้เป็นช่วงเวลานาน ก็ให้ทดลองเลิกของทอดนั้นๆไปเลย เช่นเลิกกินผักทอด เห็ดทอด เมนูชุบแป้งทอดทั้งหลาย โดยการพิจารณาโทษของการกินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป อาจจะทำให้อ้วน ทำให้มีโรคมาก ทำให้สุขภาพไม่แข็งแรงเต็มที่ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า ไม่กินเมนูทอดก็ไม่เป็นไร ไม่อยากกินเมนูทอดแล้วเพราะไม่ดีต่อสุขภาพ แม้จะมีมาวางอยู่ตรงหน้าก็ไม่กินเป็นอันดับแรก ไม่กระวนกระวายใจหากไม่ได้กิน ก็ให้เลิกกินของทอดไปได้เลย
แล้วค่อยลดชนิดอาหารอื่นๆ ที่มีรสจัดมาก มีการปรุงแต่งมาก มีราคาแพง หากินยาก มีขั้นตอนการทำยาก ฯลฯไปตามกำลังที่พอจะทำไหว
สุดท้ายแล้วเราก็จะลดเนื้อกินผักกันจนสามารถกินข้าวกับผักสดหรือผักต้มได้ น้ำพริกไม่ต้องมีก็ได้ ถ้าขาดธาตุอาหารใดก็ต้มกินเพิ่มได้ เช่น โปรตีนก็ใช้ถั่วต้ม ส่วนคาร์โบไฮเดรตเราได้จากข้าวอยู่แล้ว วิตามินได้จากผักนานาชนิดและข้าวกล้อง ที่เราเลือกกินให้เหมาะกับความสมดุลแข็งแรงของร่างกาย ส่วนไขมันถ้าขาดเราก็ใส่ในกระบวนการผัดก็ได้ จะกินพวกธัญพืชที่มีน้ำมันเช่น เมล็ดทานตะวัน แทนก็ได้ หรือจะกินเข้าไปตรงๆเลยก็ได้ โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย มีอยู่ทั่วไป ราคาไม่แพง และไม่มีโทษ คือปลอดสารเคมี ไม่ทำให้ป่วย ไม่ทำให้เสียสุขภาพ
ทั้งนี้เพื่อดำเนินไปสู่เป้าหมายคือการไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่เบียดเบียนชีวิตตนเองด้วยอาหารที่ทำลายสุขภาพ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความผาสุกในชีวิตอย่างยั่งยืน
เคร่ง หรือ เครียด
เคร่ง หรือ เครียด
การที่คนเราจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต จากที่เคยกินเนื้อ มาเรียนรู้การลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจ ก็เป็นความคิดที่ผิดแปลกไปจากสังคมส่วนใหญ่ในทุกวันนี้อยู่แล้ว โดยส่วนมากก็มักจะถูกมองว่าเป็นคนใจบุญ เคร่งศีล หรือเคร่งเครียด ก็ว่ากันไปตามแต่ใครจะแสดงท่าทีอย่างไรออกมา
ในสภาพความเป็นจริงนั้น ผู้ที่สามารถลดเนื้อกินผักได้บ้างแล้ว เขาจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ เคร่ง ” คือเคร่งครัดในวินัย ในศีล ในตบะที่ตัวเองถือ คือจะมีข้อจำกัดหลายๆอย่างที่จะไม่กลับไปเสพเนื้อสัตว์ให้ตัวเองได้เป็นทุกข์ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เบียดเบียนผู้อื่น แต่ถ้ามันเริ่มจะเข้าสู่ความลำบากจนเริ่มที่จะ “ เครียด ” ก็อาจจะวนกลับไปกินเพื่อลดความเครียดนั้นบ้าง
เคร่ง…
คำว่า เคร่ง นั้น เป็นลักษณะของการ เคร่งในตัวเอง เอาจริงเอาจัง กวดขันในวินัยของตัวเอง เช่น พระที่เคร่งศีล คือ ท่านก็มีวินัย กวดขันในตัวของท่าน ตั้งใจตั้งมั่นในตัวเอง มีความตั้งใจที่จะลด ละ เลิกสิ่งไม่ดี ลด ละ เลิกสิ่งที่เบียดเบียนเท่าที่จะทำได้อย่างไม่ลดละความพยายาม แม้จะต้องแพ้กิเลสตัวเองกลับไปเสพบ้าง แต่ก็จะตั้งหลักกลับมาสู้กับความอยากนั้นๆต่อไป อย่างไม่ลดละ
ซึ่งตรงข้ามกับความเหลาะแหละ ความหละหลวม ความประมาท คือผู้ที่ไม่เคร่ง ก็จะไม่ใส่ใจ ไม่เอาจริงเอาจัง กินเนื้อบ้าง กินผักบ้าง ไม่จริงจัง พอใครถามก็มักจะบอกว่าไม่เคร่ง เป็นต้น
ผู้ที่ไม่เคร่งนั้น คือผู้ที่ยังไม่เห็นประโยชน์ในการลดเนื้อกินผักเท่าใดนัก และยังไม่เห็นทุกข์ โทษ ภัย จากการเบียดเบียนจนกระทั่งทุกข์ที่เกิดจากวิบากกรรมของกิเลสเหล่านั้น ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ประมาท เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ทำให้ชีวิตต้องได้รับวิบากกรรมจากการที่ยังเบียดเบียนอยู่ คือ มีโรคมาก อายุสั้น เป็นอยู่ไม่ผาสุก
เครียด…
ส่วนคำว่า เครียด นั้น เป็นลักษณะของความจริงจังจนเกินพอดี อาจจะมีผลแค่ภายในจิตใจตัวเอง คือ เคร่งจนเครียด จนเป็นทุกข์ เช่น เราตั้งใจจะลดเนื้อสัตว์ใหญ่คือเนื้อวัว และด้วยความที่เราชอบสเต็กมาก เรากินมาตลอด แต่หลังจากตั้งใจมาลดเนื้อกินผักแล้ว เราก็เลี่ยงมาตลอด จนกระทั่งความอยากที่อยู่ในใจมันถึงขีดจำกัด เราไม่มีพลังทนความอยากกินเนื้อวัวอีกต่อไป แต่เราก็ยังจะฝืนทน ก็จะทำให้เกิดความเครียด ความทุกข์ ความหดหู่ กระวนกระวายใจ ทรมาน เริ่มรู้สึกว่าทุกข์จากการอดเนื้อวัวนั้นจะมากกว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเข้าไปทุกที สุดท้ายเมื่อวางความยึดมั่นถือมั่นไม่เป็น วางความยึดดีไม่เป็น ก็จะตบะแตก กลับไปกินเนื้อวัว โดยอาจไม่คิดที่จะกลับไปลดเนื้ออีกเลย เพราะขยาดกับความทรมานจากทุกข์ที่ได้รับเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องอดกลั้น ไม่ได้กิน
เมื่อเรามาลดเนื้อกินผักในช่วงเริ่มต้นนั้น เรามักจะใช้อุดมคติเป็นตัวตั้ง คือ เราไปเห็นเขาฆ่าสัตว์ เห็นความโหดร้ายในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ เห็นความทรมาน เห็นความทุกข์จากโรคภัยที่เกิดจากเนื้อสัตว์ กระทั่งว่าเห็นความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส พอเห็นดังนั้นก็คิดอยากจะเลิกกินเนื้อสัตว์ทั้งชีวิตตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นไปเลย แต่แม้จะคิดได้เช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถหลุดออกจากนรก คือความอยากกินเนื้อสัตว์ได้ทันที อย่างที่ใจคิดฝัน
ผู้สนใจหันมาลดเนื้อกินผัก ต้องประมาณกำลังของตัวเองว่าเราจะสามารถลดได้ในระดับไหน ที่รู้สึกว่าตนเองพอทำไหว คือไม่ให้หย่อนจนไม่เจริญ และไม่ให้ตึงจนกระทั่งทำไม่ได้ ลำบาก ทรมานมากเกินไป เมื่อตั้งระดับในการลด ละ เลิกได้พอสมควรแล้วก็ให้ดำเนินชีวิตไปตามเป้าหมาย โดยพยายามประคองไม่ให้เครียดจนเกินไปนัก และเมื่อรู้สึกว่าสามารถเลิกกินสัตว์ใหญ่ได้แล้วก็ไม่รอช้า ปรับเข้ามาสู่การลดเนื้อสัตว์เล็กต่อ จนกระทั่งเลิกกินเนื้อสัตว์ เก่งขึ้นไปอีกก็กินจืด ลดมื้อของอาหารลง ลดชนิดของอาหารลง ตามลำดับ
เคร่งจนพากันเครียด…
บางครั้งความเคร่งหรือความเครียดก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเราเท่านั้น ผู้ที่สามารถลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจ บางท่านเมื่อทำได้บ้างแล้วก็จะมีความมั่นใจจึงมีความเคร่งในตัวเอง และยังเผื่อแผ่ความเคร่งของตัวเองไปเคร่งกับคนรอบข้างอีกด้วย
เช่น แม่บ้านไปเรียนรู้เรื่องมังสวิรัติมาเกิดปัญญาเห็นโทษของการกินเนื้อ และตัวเองก็มีกำลังในการตัดเนื้อสัตว์อยู่ด้วยเพราะไม่ได้ติดในรสชาติ หรือรสอะไร ก็กลับมาทำอาหารมังสวิรัติให้ที่บ้านกิน ทีนี้พ่อบ้านและลูกๆ ยังมีกิเลส อยากกินเนื้อสัตว์อยู่ เขายังไม่ได้เห็นประโยชน์ในการออกจากเนื้อสัตว์ และไม่ได้เห็นทุกข์จากการยังกินเนื้อสัตว์ เขาจึงไม่เข้าใจว่ามังสวิรัติมีประโยชน์อย่างไร
แรกๆก็พอจะทนกันไปได้ด้วยความเกรงใจและเห็นดีกับแม่บ้านอยู่บ้าง เพราะแม่บ้านก็บอกว่าทำดี ทำบุญ ฯลฯ แต่ด้วยความอยากในจิตใจก็ทำให้เกิดความกดดัน ความเครียดขึ้นมา เพราะจริงๆก็ไม่ได้ชอบกินผักและยังอยากกินเนื้อทุกวัน เมื่อไม่มีเนื้อสัตว์ให้เสพเหมือนเดิม ก็จะทำให้เกิดทุกข์ จนกระทั่งอาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจกันขึ้นมาก็ได้
ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อเรามีความเคร่ง ก็ควรจะเคร่งคลุมอยู่ภายในตัวเองเท่านั้น ไม่ควรไปเคร่งกับคนอื่น เพราะถ้าเขาเห็นว่าดี เขาก็จะกินเอง ไม่ต้องไปบังคับหรือกดดันอะไรเลย เราก็กินของเราไป เคร่งของเราไปคนเดียว เครียดไปคนเดียว อย่าให้ความติดดี ยึดดี ถือดี ไปทำร้ายคนอื่น
เช่น เราเป็นคนทำอาหารหรือซื้ออาหารให้ครอบครัวกิน เราก็ยังทำหรือซื้อให้เขากินตามที่เขาชอบเหมือนเดิม แต่เราก็ทำหรือซื้อในแบบที่เรากินมาต่างหาก เราก็ได้นั่งร่วมโต๊ะกันเหมือนเดิม ครอบครัวก็ยังเป็นสุขอยู่เหมือนเดิม และยังได้ลดเนื้อกินผักอยู่เหมือนเดิม เพราะปากใครก็ปากใคร ท้องใครก็ท้องใคร กรรมใครก็กรรมใคร ก็แล้วแต่เขาจะเลือกเอง ถ้าเขาเห็นว่ามีประโยชน์ เขาก็จะบอกเองว่าอยากกินแบบเรา ให้เราทำอาหารมังสวิรัติให้ ให้เราแนะนำความรู้ให้ เป็นต้น
น้ำซุปกินได้ไหม?
น้ำซุปกินได้ไหม?
น้ำซุปกับชาวมังฯ นั้นดูจะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่หลายคนสงสัยว่ากินได้ไหม? แน่นอนว่าน้ำซุปส่วนมากประกอบด้วยกระดูกสัตว์ และส่วนประกอบอื่นๆของสัตว์ต่างๆอีกมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เรา “ รู้กันดี ” อยู่แล้ว ดังนั้นหากจะบอกว่ามันเป็นมังสวิรัติไหม ก็คงไม่ แต่ก็ต้องดูรายละเอียดกันหน่อย
การกินมังสวิรัติได้ทันทีนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถลบบาปที่เคยทำมาตั้งแต่อดีตก่อนที่จะมากินมังสวิรัติได้ และน้อยคนนักที่จะสามารถหันมากินมังสวิรัติได้อย่างเต็มตัวในทันที การกินมังสวิรัตินั้นต้องค่อยๆพัฒนา เหมือนเด็กทารก หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน จนกระทั่งวิ่งได้ ดังนั้นเราจึงมีกระบวนการที่เรียกว่า การลด ละ เลิก คือลดเนื้อสัตว์หันมากินผัก
ลองจินตนาการดูว่าถ้าทุกคนในบ้าน ชุมชน ประเทศ หรือในโลก เลิกกินเนื้อเป็นชิ้นๆ แล้วอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์จะเป็นอย่างไร? ในเมื่อไม่มีการกินเนื้อเป็นชิ้นๆ แล้วยังจะมีการกินน้ำซุปจากกระดูกอีกหรือ? ในทำนองเดียวกันนั้นเอง เราจึงควรมุ่งเน้นในการลดการเบียดเบียนที่มากเสียก่อน แล้วค่อยมาทำสิ่งที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น คือลดเป็นลำดับๆไป
คนที่ตั้งใจกินมังสวิรัตินั้นเขาอาจจะไม่ได้อยากจะกินเนื้อสัตว์ แต่เพราะติดรสชาติของน้ำซุป หรืออยากมีน้ำซุปบ้าง อาจจะไม่รู้ว่าต้องสั่งอย่างไรบ้าง แต่ถ้าลดเนื้อเหลือแต่น้ำซุป ตรงนี้ก็เป็นการลดในขั้นที่ละเอียดกว่าในรูปแบบของชิ้นเนื้อทั่วไป เนื้อเป็นชิ้นๆเขาไม่กินแล้ว แต่เขายังเลิกบางอย่างไม่ได้เช่น น้ำซุป น้ำปลา กะปิ ไข่ ที่ประกอบอยู่ในอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาก็กำลังเพียรพยายามหาทาง ลด ละ เลิกต่อไป
ทีนี้คนที่มีความคิดในเชิงสมบูรณ์แบบ หรือ Perfectionist หรือเรียกง่ายๆ ว่าติดดี ก็จะมีความรู้สึกว่ามันไม่ดี ไม่งาม ไม่สมบูรณ์พร้อม จนตัวเองนั้นเป็นทุกข์เมื่อได้เห็นคนที่บอกว่ากินมังสวิรัติกินน้ำซุปที่ประกอบด้วยกระดูกสัตว์ น้ำปลา กะปิ ไข่ ฯลฯ ซึ่งทำให้เกิดนรก คือความเดือดเนื้อร้อนใจในจิตใจของตัวเอง เพราะคิดว่าตนเองทำได้แล้ว คนอื่นเขาจะต้องทำได้เหมือนตนเองมังสวิรัติมันต้องแบบนั้น มันต้องแบบนี้ถึงจะเรียกว่ามังสวิรัติ …สุดท้ายก็ทุกข์ไปคนเดียวนั่นแหละ
ซึ่งในความจริงมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ หลายคนไม่ได้มีเหตุปัจจัยเอื้อให้กินมังสวิรัติได้สมบูรณ์แบบ ทั้งสังคม สภาพแวดล้อม และกิเลสของเขาเอง เขาก็มีกรรมเป็นของเขา แล้วเราไปยุ่งกับเขา เราก็มาทุกข์ อันนี้มันก็หาเรื่องให้ตัวเองปวดหัวกับเรื่องคนอื่นมากเกินไปหน่อย ดังนั้นใครเขาจะลดเนื้อกินผักลีลาไหนก็เรื่องของเขาเถอะ เอาเราให้สมบูรณ์ก็พอ อย่าไปหวังความสมบูรณ์แบบอะไรกับคนอื่นเลย
เพราะจากวันนี้จนถึงวันที่โลกแตกก็ยังมีคนกินเนื้ออยู่ดีนั่นแหละ แล้วเราจะไปเพ่งโทษคนที่เขาพยายามจะลดเนื้อกินผัก หรือไปเพ่งโทษคนที่พยายามจะทำดี แบบนี้ไม่เรียกหาเหาใส่หัวหรือ? เขาพยายามทำดีเท่าที่เขาจะทำได้ก็ดีแล้วนี่ ดีกว่าเขาหันไปกินเนื้อ ไม่สนใจที่จะลด ละ เลิกเลย
ความติดดีนี่แหละ จะทำให้คนหัดกินมังสวิรัติด้วยกันเอือมระอาต่อความสมบูรณ์แบบของเรา กลายเป็นเขาเลิกกินมังสวิรัติเพราะรำคาญความสมบูรณ์แบบที่เขายังไม่พร้อมจะทำ ปล่อยให้คนเก่งอย่างเรากินไปคนเดียว แล้วทีนี้เราทำลายคนที่ตั้งใจจะลดเนื้อกินผักไป มันจะมีค่าอะไร กับแค่คนเก่งคนเดียวที่กินมังสวิรัติได้สมบูรณ์แบบจะมีค่าอะไร เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่สามารถทำแค่ลดเนื้อแบบเป็นชิ้นๆได้ ผลรวมมันก็เบียดเบียนน้อยกว่าอยู่แล้ว
ดังนั้นข้อสรุปที่ว่า น้ำซุปกินได้ไหม? ก็จะให้ความคิดเห็นว่า ถ้ามันลำบากใจ มากอยากกินมาก ก็กินไปเถอะ แต่ก็ให้พิจารณาโทษของมันไปเรื่อยๆ ว่ามีข้อเสียอย่างไร เบียดเบียนอย่างไร ถ้าวันหนึ่งมีกำลังใจ ตั้งใจจะเลิกเบียดเบียน ก็ลอง ลด ละ เลิกไปตามลำดับดู ให้แต่ละคนประมาณเอาเองว่าตัวเองไหวที่ระดับไหน ระดับไหนที่พอทำได้ ระดับไหนที่ฝืน ระดับไหนที่ทรมานมากเกินไป ก็ให้ประมาณกันให้พอดี ให้เหมาะกับพื้นฐานของแต่ละคน
เต้าหู้ผัดขิง
เต้าหู้ผัดขิง : จานนี้กินที่บ้านอารีย์ แต่ก่อนก็ชอบไก่ผัดขิงเหมือนกันนะ แต่พอหันมากินมังฯ เต้าหู้ผัดขิงนี่ก็สามารถเข้ามาแทนที่ได้แบบเนียนๆ แทบไม่รู้สึกคิดถึงไก่อีกเลย
เพราะคุณค่าของเต้าหู้เข้าไปแทนที่ โทษของการกินเนื้อไก่ เลยทำให้ลืมไก่ไปได้ง่ายๆ..
มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษเลยเนาะ การกินมังฯเนี่ย โปรตีนก็ได้เหมือนเดิม แถมยังไม่ต้องเบียดเบียนอีก
มะกะโรนีผัดพริก
มะกะโรนีผัดพริก : พอดีพริกเหลือ มีพริกหวาน พริกชี้ฟ้า พริกไทยอ่อน ถ้าไม่เอามาทำกินก็กลัวจะเน่าเสียไปฟรีๆ
ก็เลยเอามาผัดกับมะกะโรนี ปรุงรสนิดหน่อย อร่อยเหมือนเดิม… พอเรากินมังฯไปสักพักก็จะพัฒนาเข้าสู่การกินที่รสชาติอ่อนลงเรื่อย ติดรสชาติลงเรื่อย ลดรูปของอาหารลงเรื่อยๆ
กินไปกินมาก็เลยเป็นคนกินง่าย มาหน้าตาแบบไหนก็ได้ รสจืดแค่ไหนก็ได้ อร่อยได้หมดเลย
ึความคิดเห็นล่าสุด