Tag: กิเลส

เนื้อสัตว์ พืชผัก ความรู้สึกหลังจากกินมังสวิรัติแล้ว

July 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,416 views 0

เนื้อสัตว์ พืชผัก ความรู้สึกหลังจากกินมังสวิรัติแล้ว

ความแตกต่างระหว่างกินเนื้อกับกินผัก

หลายๆคนที่หันมาลองกินมังสวิรัติคงจะรับรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อเราเปลี่ยนมากินมังสวิรัติการรับรู้ที่เคยมีก็เปลี่ยนไป ทั้งๆที่เนื้อสัตว์กับผักยังมีรสชาติและคุณค่าเหมือนอย่างที่มันเคยเป็นไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นตัวเราเองที่เปลี่ยนไป เราจะมาแบ่งปันความความรู้สึกระหว่างการกินเนื้อสัตว์กับผักในสามช่วงเวลาคือ 1. ยังไม่กินมังสวิรัติ 2. กินมังสวิรัติได้เป็นประจำ 3.กินมังสวิรัติได้อย่างเป็นสุข… ลองมาอ่านกัน

1.เมื่อสมัยยังไม่กินมังสวิรัติ

ชาวมังสวิรัติส่วนใหญ่นั้นก็เคยเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์กันมาทั้งนั้น สมัยยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็รู้สึกว่ามันอร่อย เลือกหาร้านอาหารที่ขายเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย มีชื่อเสียง พืชผักนี่แทบจะไม่อยู่ในสายตา แม้จะอยู่ในจานก็ไม่เคยสนใจ เรามักจะกินเนื้อสัตว์ก่อนเสมอ ส่วนผักจะเหลือทิ้งไว้ก็ไม่มีใครใส่ใจ เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในทุกมื้ออาหาร ขาดไปเมื่อไหร่เหมือนชีวิตช่างดูอับจน ต้องมากินแต่ผัก ส่วนผักจะมีหรือไม่มีก็ได้เห็นคุณค่าเป็นเพียงแค่วิตามินส่วนเสริม ไม่ได้จำเป็นอะไรนัก มองไปยังคนที่กินมังสวิรัติว่า อยู่กันได้ยังไง ใช้ชีวิตมังสวิรัติกันไปได้อย่างไร กินเนื้อมีความสุขจะตาย จะเลิกกินไปทำไม

ในช่วงนี้เราจะลำเอียงไปทางเนื้อสัตว์ เพราะเราชอบ เราอยากกินเนื้อสัตว์ จากความเคยชิน รสอร่อยที่เราติดยึด กินเนื้อจะอร่อย กินผักก็เฉยๆ ก็แค่พืชผัก ในตอนนี้ เนื้อสัตว์จะเป็นพระเอก พืชผักจะเป็นตัวประกอบ

2. เมื่อเรียนรู้และสามารถกินมังสวิรัติได้เป็นประจำ

วันหนึ่งคนทั่วไปที่เคยหลงติด หลงเข้าใจไปว่าเนื้อสัตว์อร่อยมีคุณค่าจำเป็นต่อชีวิต ก็ได้รับความรู้ใหม่ คือโทษจากการกินเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การเบียดเบียน กระทั่งเรื่องของกิเลสและกรรม หรือความรู้อื่นๆ ก็ทำให้เขาตัดสินใจ ลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ จนสามารถปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม กินมังสวิรัติได้เป็นเวลานานและติดต่อกัน โดยไม่กลับไปแตะต้องเนื้อสัตว์เลย พบกับความสุขที่ไม่ต้องไปกินเนื้อสัตว์แล้ว มองไปยังคนที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ว่า กินเนื้อสัตว์กันไปได้อย่างไร มันทั้งเบียดเบียน และทำให้เสียสุขภาพ ฯลฯ

ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากการกินเนื้อสัตว์มาสู่มังสวิรัตินี้ เราจะเริ่มลำเอียงไปทางพืชผัก น้ำหนักที่เคยเอียงไปทางด้านเนื้อสัตว์จะค่อยๆลดลงและพืชผักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราชอบพืชผักด้วยที่มันมีประโยชน์ ไม่เบียดเบียน และเราเกลียดการกินเนื้อสัตว์ ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ เพราะมันเบียดเบียนกินพืชผักจะอร่อย กินเนื้อสัตว์จะไม่อร่อย ในตอนนี้ พืชผักจะเป็นพระเอก เนื้อสัตว์จะเป็นผู้ร้าย

3. เมื่อเรากินมังสวิรัติได้อย่างเป็นสุข

เมื่อเรากินมังสวิรัติเป็นประจำ และสามารถลด ละ เลิก ความยึดดี ถือดี ถือตัวถือตน ความติดดีในการกินมังสวิรัติได้แล้ว เราก็จะสามารถมองเนื้อสัตว์และพืชผัก เป็นอย่างที่มันเป็นตามความเป็นจริง โดยไม่มีความลำเอียงไปในด้านรักเนื้อสัตว์ไม่สนพืชผัก หรือรักพืชผักเกลียดเนื้อสัตว์เพราะเข้าใจเหตุปัจจัยที่ส่งผลแก่กันและกัน ในคนที่ยังกินเนื้อสัตว์และสัตว์ที่ต้องตายไปเพื่อคนที่กินเนื้อสัตว์

เราจะเลือกกินแต่สิ่งที่มีคุณค่าแท้ต่อร่างกายและจิตใจ จะเข้าใจถึงโทษและประโยชน์โดยปราศจากความลำเอียง ความรักชอบ เกลียดชังใดๆ เป็นเสมือนตราชั่งที่ตั้งไว้เสมอกันไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่เมื่อวางเนื้อสัตว์กับผักลงไปในแต่ละฝั่งแล้ว ตราชั่งจะเอียงไปในด้านที่มีคุณค่าที่มากกว่า ซึ่งเป็นคุณค่าต่อตนเอง ต่อผู้อื่นหรือสัตว์อื่น ต่อสังคมและโลก

ในช่วงนี้เราไม่ได้ลำเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เราเลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์แท้ เราจึงกินอร่อยด้วยคุณค่า ไม่ใช่ด้วยความอยากหรือไม่อยาก ในตอนนี้ ผักจะเป็นตัวเลือกแรก และเนื้อสัตว์จะเป็นตัวเลือกสุดท้ายหรืออาจจะไม่ใช่ตัวเลือกเลยก็ได้ แล้วแต่ว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เป็นกุศลสูงสุดในขณะนั้น

เมื่อกินมังสวิรัติอย่างมั่นคงมาได้แล้ว ทดลองกลับไปกินเนื้อ จะรู้สึกถึงความแตกต่างชัดเจนขึ้นโดยจะให้คุณค่าในทางมังสวิรัติมากกว่า เพราะการกินผัก จะทำให้ร่างกายเบา สบาย ย่อยง่าย ขับถ่ายง่าย ต่างจากตอนกินเนื้อ ซึ่งทำให้รู้สึกอึดอัด แน่น ท้องตึง ย่อยยาก รวมถึงขับถ่ายยาก ผู้กินสามารถใช้ร่างกายของตัวเองเป็นห้องทดลองได้ เราจะได้รู้ข้อดีของการกินมังสวิรัติ และข้อเสียของการกินเนื้อสัตว์ด้วยร่างกายของเราเองโดยไม่มีความลำเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่ง แต่รับรู้ด้วยร่างกายตามที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่แค่ได้ยินได้ฟังเขามา

อ่านมาจนถึงตรงนี้ แล้วคุณล่ะ รู้สึกอย่างไรกับเนื้อสัตว์ รู้สึกอย่างไรกับผักหรือการกินมังสวิรัติ ? กินแล้วมีความสุขอยู่ไหม? เห็นคนกินเนื้อแล้วยังอยากกินกับเขาอยู่ไหม? หรือรู้สึกไม่ชอบ ยังชัง ยังรู้สึกไม่ดีที่เขายังกินเนื้อบ้างไหม? เลือกแบ่งปันประสบการณ์กันได้ตามสะดวกเลย

ลดการเบียดเบียนเพื่อการพัฒนาสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน

July 22, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,041 views 0

ลดการเบียดเบียนเพื่อการพัฒนาสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน

ลดการเบียดเบียนเพื่อการพัฒนาสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน

เมื่อเราตั้งใจเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตมังสวิรัติ มาลดเนื้อกินผัก ด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เมนูอาหารที่เปลี่ยนไป วิธีคิดที่เปลี่ยนไป วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป หรือกระทั่งสังคมที่เปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนก็ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียสิ่งที่เคยมี แต่เป็นแค่ช่วงเวลาที่สิ่งใหม่ (คือ การกินมังสวิรัติ การลดเนื้อกินผัก) กับสิ่งเก่า( คือ วิธีชีวิตเดิมของเรา) กำลังปรับตัวเข้าหากัน เพื่อจะพัฒนาเป็นชีวิตใหม่ที่มีความผาสุกยิ่งขึ้น

แต่การเรียนรู้ที่จะ ลด ละ เลิก สู่ชีวิตมังสวิรัติ หรือลดเนื้อกินผัก นั้นไม่ได้ง่ายขนาดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที เพราะการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น อาจจะกลายเป็นความเบียดเบียนตัวเราเองก็ได้

การเบียดเบียนในช่วงที่ยังพยายามลด ละ เลิกเนื้อสัตว์

เราเลือกที่จะไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น ด้วยการไม่ส่งเสริมให้ฆ่า โดยการลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์ หรือเลิกใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่เมื่อทำได้สักช่วงเวลาหนึ่งอาจจะพบว่า ชีวิตเริ่มจะลำบาก รู้สึกว่าทรมาน รู้สึกว่าอยากกินเนื้อสัตว์ รู้สึกว่าเข้าสังคมยาก รู้สึกว่าไม่มีความสุข ในสภาพจิตใจเช่นนี้ จะเริ่มเข้าข่ายการเบียดเบียนตัวเอง“ หากเรายังฝืนทนกับความอยากที่เกินกำลังที่เราสามารถต้านทานไว้ได้ ซึ่งเราก็อาจจะทนได้ในระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จะมีอาการตบะแตก หรือเลิกล้ม เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์ เข็ดขยาดกับความทรมาน ที่ต้องอดทนไม่กินเนื้อสัตว์ทั้งที่ความอยากเสพนั้นไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

การเบียดเบียนตัวเองมักจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีความตั้งใจเกินกำลัง ที่เราทำได้จริงเช่น เลิกกินเนื้อสัตว์ทั้งๆที่ยังอยากกินมากยังติดอยู่มาก หรือเลิกกินน้ำปลา น้ำซุป น้ำมันหอย ไข่ เนย ฯลฯ ทั้งๆที่ยังไม่เรียนรู้ที่จะหาทางเลือกอื่นๆ ให้เรากินได้ ทำให้รู้สึกกดดันตัวเอง หาอะไรกินยาก แม้ว่าเราจะทำได้ ก็ทำได้แค่ระดับฝืนทน กดข่ม ยิ่งอดทนยิ่งทรมาน

ข้อเสียของการกินมังสวิรัติอย่างฝืนทน กดข่มนั้น คือความไม่สดใส ไม่ผ่องใส เครียด ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความสุข ฯลฯ เราควรที่จะกินมังสวิรัติด้วยการเห็นประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงเห็นเป็นเรื่องดีที่คนนิยม การกินอย่างเข้าใจและมีปัญญาจะช่วยให้เกิดความยินดี พอใจ เต็มใจในการกินมังสวิรัติซึ่งเป็นพื้นฐานสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืน

หากขาดความยินดี เต็มใจ พอใจ ที่จะกินมังสวิรัติแล้ว เราก็อาจจะสามารถกินได้สักระยะหนึ่ง แต่ก็มักจะล้มเลิกได้ง่าย แม้จะกินไปได้เป็นปี หลายปี แต่ถ้าไม่ได้เห็นและเข้าใจประโยชน์แท้ของการกินมังสวิรัติก็อาจจะทำให้ไม่มีแรงใจ ไม่มีกำลังใจมากพอที่จะทำให้สมบูรณ์ได้

และเมื่อล้มเลิกก็จะมีคำถามมากมายจากคนอื่นและในจิตใจของตัวเองว่า กินมังสวิรัติแล้วดีจริงหรือ, ดีแล้วเลิกทำไม ,กินเนื้อสัตว์ไม่ดีแล้วกลับไปกินอีกทำไม เราจะตอบเขาหรือตอบตัวเองไม่ได้เลย หรือแม้จะตอบได้ก็ไม่ชัดเจนเพราะเราเองก็ไม่รู้ประโยชน์แท้ๆในการกินมังสวิรัติเหมือนกัน เพราะคนที่รู้ประโยชน์แท้จะสามารถตัดเนื้อสัตว์ได้อย่างยั่งยืน  เพราะมีปัญญาจึงเลิกกินเนื้อสัตว์นั้น ในทางกลับกันเมื่อเราไม่รู้ประโยชน์แท้เราจึงไม่สามารถกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนได้ เราจึงต้องใช้การพิจารณาหาประโยชน์ของการกินมังสวิรัติ และโทษของการกินเนื้อสัตว์ ให้มากและบ่อยยิ่งขึ้น ก็จะช่วยเสริมความยินดี เต็มใจ พอใจ ให้เรามีแรงมีกำลังในการกินมังสวิรัติมากขึ้นนั่นเอง

การปฏิบัติสู่ชีวิตมังสวิรัติ จะต้องค่อยๆปฏิบัติไปตามพื้นฐานของแต่ละคน ถ้าติดเนื้อสัตว์มากก็ให้ลด ติดบ้างก็ให้ละ ติดน้อยก็ให้เลิก โดยให้สังเกตตัวเองว่า ถ้าลองเลิกกินเนื้อสัตว์แล้วเราจะทรมานจากความอยากเสพมากแค่ไหน ถ้าพอทนได้ก็ให้ตัดใจเลิกไปเลย แต่ถ้าโหยหา หงุดหงิด หิวกระหาย อยากกลับไปเสพ จนเริ่มเครียดมาก ทุกข์มากก็อย่ามัวไปยึดมั่นถือมั่นจนเบียดเบียนตัวเองเลย ให้วางความยึดดี วางความเป็นคนดีลงไปบ้าง แล้วกลับไปเสพเนื้อสัตว์บ้างเพื่อให้หายทรมาน แล้วค่อยกลับมาตั้งใจเริ่มปฏิบัติ ตั้งหน้าตั้งตาสู้กันใหม่อีกที

เมื่อเรากินมังสวิรัติอย่างไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่เบียดเบียนตัวเองด้วย นั่นจึงเป็นหนทางสู่การกินมังสวิรัติ การลดเนื้อกินผักได้อย่างมีความสุข ทำให้สามารถพัฒนาการ ลด ละ เลิก การเบียดเบียนไปตามลำดับเพื่อพัฒนาสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืนต่อไป

การเบียดเบียนในช่วงที่สามารถเลิกเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาดแล้ว

เมื่อเราเลิกกินเนื้อสัตว์ หันมากินมังสวิรัติได้แล้ว เราก็สามารถที่จะเลิกการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้ที่กินมังสวิรัติมาได้ถึงขั้นนี้ ก็จะมีความรู้ความเข้าใจในการกินมังสวิรัติมากขึ้นด้วย ทำให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกินมังสวิรัติ ซึ่งก็จะเริ่มทำหน้าที่ เผยแพร่คุณค่า ความดีงามของการกินอาหารมังสวิรัติ ไม่ว่าจะในสังคมขนาดเล็ก เช่น ครอบครัว ที่ทำงาน กลุ่มเพื่อน หรือในสังคมใหญ่ต่างๆ

นั่นก็เพราะเมื่อเราได้รับสิ่งดี ค้นพบสิ่งดี เราก็มักอยากจะให้คนที่เรารัก เราห่วงใย รวมถึงเพื่อนมนุษย์อีกหลายคนได้รับสิ่งที่ดี ได้รับความสุข ความสบายใจอย่างเราบ้าง เราจึงเริ่มเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมังสวิรัติไปด้วยความมั่นใจ จนบางครั้งอาจจะไปกดดัน บีบคั้น ทำให้ผู้อื่นลำบากใจ “กลายเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นในมุมของการยึดดี ถือดี“ เพราะเราอยากเสพเหตุการณ์ที่ว่า ทุกคนจะสามารถหันมากินมังสวิรัติได้เหมือนเรา ทำดีได้เหมือนเรา โลกจะดีเมื่อทุกคนทำได้เหมือนเรา หากว่าพวกเขาเหล่านั้นได้รับความรู้ความเข้าใจจากเรา ซึ่งการที่ผู้กินมังสวิรัติเข้าใจและกระทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่ทำแล้วเป็นความดีเป็นกุศล แต่บางครั้งก็มักจะเกินเลยข้ามเส้นที่เป็นกุศลไปเป็นอกุศล คือเริ่มทำให้เขาลำบากใจเข้าแล้ว

ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมากินมังสวิรัติได้โดยใช้องค์ความรู้เดียวกัน หรือเท่ากันเสมอไป เพราะแต่ลดคนมีความยึดติดมากน้อยไม่เท่ากัน เราอาจจะเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งสามารถเข้าใจเราได้ดี แต่คนอีกกลุ่มหรือกระทั่งคนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจเราได้เลย เรามักจะเข้าใจว่าเราทำได้ง่ายๆ ทำไมคนอื่นทำไม่ได้เหมือนเรา เมื่อเราเริ่มรู้สึกว่าการเผยแพร่ของเราติดขัด ไม่ประสบความสำเร็จ คนนั้นคิดไม่เหมือนเรา คนนี้ทำไม่เหมือนเรา เรายึดมั่นถือมั่นว่าการกินมังสวิรัติต้องปฏิบัติแบบเราถึงจะถูก เราจึงเลิกพูดกับคนบางกลุ่มด้วยอาการอึดอัด กดดันตัวเอง ยึดดี ถือดี คิดเอาเองว่าเขาไม่เข้าใจ เราเลยไม่ยินดีที่เขาไม่ปฏิบัติตาม ไม่ยินดีที่เขาคิดไม่เหมือนเรา ในตอนนี้เราก็เริ่มจะเข้าไปในขีดของ “การเบียดเบียนตัวเองในมุมของการยึดดี ถือดีแล้ว

เพราะใจจริงของเราก็อยากจะสอน อยากจะบอก อยากจะแนะนำสิ่งดีให้เขานั่นแหละ แต่เมื่อทำไม่ได้ เราก็ไม่ได้ปล่อยวางความดีเหล่านั้น แต่กลับยังยึดว่าต้องเกิดดีตามที่ตนมุ่งหมาย เอาความผิดพลาดมาคิด เอามาตีตัวเอง หรือไม่ก็เพ่งโทษคนอื่นไปด้วย ตรงนี้เองเป็นเหตุที่ทำให้คนที่สามารถกินมังสวิรัติได้อย่างดี ยังเกิดความทุกข์ในใจอยู่มาก

เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าเราเองก็เรียนรู้มาแบบหนึ่ง ลักษณะหนึ่ง เราจึงมีปัญญาแค่ในมุมที่เราเรียนรู้มา ซึ่งก็มีอย่างจำกัด ไม่สามารถที่จะนำไปใช้แนะนำให้กับคนที่มีกิเลสมากมายหลากหลายได้ทั้งหมด การปล่อยวางความยึดดีถือดี เมื่อเขาเหล่านั้นไม่เอาดี เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เมื่อผลดีไม่เกิดเราก็ไม่ต้องไปยึดดีปล่อยให้เป็นไปตามบาปบุญของเขา เพราะเราได้ทำดีที่สุด คือการแนะนำ อธิบาย บอกกล่าวไปตามความรู้ที่เรามีแล้วเขาจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อ จะเห็นดีหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของเขา

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะแนะนำ ให้ความรู้เกี่ยวกับกินมังสวิรัติได้อย่างไม่ยึดดีถือดี เราก็จะสามารถเรียนรู้ความอยากที่แตกต่างในแต่ละบุคคลด้วย เพราะเมื่อเราไม่ยึดว่าสิ่งที่เราบอกนั้นจะต้องเกิดดีขึ้นจริง เราจะมีพื้นที่ในใจว่างเผื่อไว้ให้เราใส่ความรู้ใหม่ที่จะเข้ามา เหมือนแก้วน้ำ ที่มีน้ำไม่เต็มแก้วก็จะสามารถรับน้ำใหม่ได้ด้วย เราจะเรียนรู้ว่าคนแบบนี้มีความอยากแบบไหน แล้วต่อไปจะต้องหาความรู้แบบใดไปบอก ไปแนะนำเขา เขาถึงจะเข้าใจได้ง่ายตอบคำถามในใจของเขาได้ โดยที่เรามุ่งความสำเร็จองค์รวมมากกว่าที่จะยึดมั่นถือมั่นเอาความรู้เดิมหรือความรู้แรกที่เราใช้ผ่านการกินมังสวิรัติมาใช้กับทุกคน

และเมื่อเราผ่านการเบียดเบียนทั้งในมุมการเสพเนื้อสัตว์และการเสพดีทั้งหมดแล้ว เราก็จะพบกับความผาสุกที่แท้จริง ยั่งยืน มีความรู้ มีปัญญาเข้าใจคนอื่น ทำให้คำพูด คำแนะนำ คำสอนของเรามีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา

July 15, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,885 views 0

Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา

Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา

จนถึงตอนนี้ก็ครบ 1 เดือนกันแล้วกับ Veggie Kitchen ในเฟสบุค ในตอนแรกนั้นก็ไม่ได้คิดจะตั้งเพจนี้ขึ้นมา เริ่มมาจากลงรูปเมนูอาหารมังสวิรัติในหน้าของตัวเองก่อน ทำไปทำมามันก็เริ่มจะเยอะ และเริ่มคิดได้ว่ามันน่าจะเอามาทำประโยชน์อะไรได้มากกว่าแค่โชว์รูปอาหารมังสวิรัติที่ทำเอง รวมกับมีงานออกแบบส่วนหนึ่งที่เคยทำค้างคาไว้อยู่แล้ว เลยผสมทุกอย่างออกมาลงตัว เป็นอย่างที่เห็นนี่เอง

Veggie Kitchen เหมาะกับใครบ้าง?

  1. ผู้เริ่มต้นเรียนรู้และหัดกินมังสวิรัติ หัดลดเนื้อกินผัก แสวงหาข้อมูลทางเลือกในการพึ่งตนเองเพื่อจะได้มาซึ่งอาหารมังสวิรัติ และหาวิธีปรับตัวเมื่อต้องกินมังสวิรัติกับสังคมเดิม
  2. ผู้ที่กินมังสวิรัติมาสักระยะหนึ่งแต่ยังตกหล่น พร่องอยู่เป็นประจำ ที่บ้านที่ทำงานก็กินได้ แต่พอไปในสถานที่ไม่คุ้น เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย ก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ทุกที
  3. ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ยังมีความทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นกินเนื้อสัตว์ เห็นเขาฆ่าสัตว์ เห็นเขาทรมานสัตว์ ยังไม่สามารถปล่อยวางความยึดดี ถือดีได้
  4. ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างปกติ และอยู่กับสังคมที่กินเนื้อสัตว์ได้อย่างมีความสุข สามารถเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการออกจากนรกของการเสพติดเนื้อสัตว์และการยึดดีให้กับเพื่อนๆ

วัตถุประสงค์ของ Veggie Kitchen

  • เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติ ได้มีทางเลือกที่มากกว่าการทำอาหารเอง หรือหาซื้ออาหารจากร้านมังสวิรัติ
  • เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติได้เห็นความหลากหลายในวิธีการหากินอาหารมังสวิรัติ
  • เพื่อลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นด้วยการเสพ เช่น การกินเนื้อสัตว์ การไปแย่งชิงของรักของสัตว์อื่น
  • เพื่อลดการเบียดเบียนตัวเอง โดยการทรมานตัวเองด้วยความยึดดี ถือดี เสพดี ทำให้อึดอัดจนเกิดความทุกข์
  • เพื่อการกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนและมีความสุขจากการไม่เสพเนื้อสัตว์และไม่ยึดดีถือดี
  • เพื่อสุขภาพที่ดี เพราะการไม่เบียดเบียน ทำให้มีอายุยืน และมีโรคน้อย
  • เพื่อลดความอยากในการกิน คือ กิเลส อันเป็นรากเหง้าแห่งปัญหาทั้งปวง
  • เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดการ ร่วมเรียนรู้ วิธีปฏิบัติ แบ่งปันประสบการณ์ในการกินมังสวิรัติ

วิถีทางปฏิบัติสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนของ Veggie Kitchen

วิธีที่เราจะใช้เป็นหลักในการกินมังสวิรัติ คือ การ ลด ละ เลิก การบริโภคเนื้อสัตว์ให้เหมาะสมกับพื้นฐานของแต่ละบุคคล ติดมากก็ให้ลดบ้าง ติดปานกลางก็ให้ละบ้าง ติดน้อยก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย และเรายังใช้การ ลดละเลิก ในลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นและตนเองในส่วนอื่นๆของการกินและการใช้อีกด้วย

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

July 14, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,709 views 0

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

เมตตา เป็นคำที่หลายคนคุ้นเคย เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นสบายและอบอุ่นไปทั้งใจเมื่อได้รับ มีคุณค่ามากมายเมื่อเมตตาได้งอกงามและเจริญในจิตใจ ชาวมังสวิรัติมักจะใช้เมตตาเป็นตัวนำในการพาตัวเองไปสู่ชีวิตมังสวิรัติ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองได้ลด ละ เลิก การเบียดเบียนได้

เมตตากับผู้เริ่มต้นกินมังสวิรัติ

เมตตา สำหรับผู้เริ่มต้นกินมังสวิรัตินั้น การที่เราจะพัฒนาเมตตาได้นั้น เราควรจะเรียนรู้ว่าสัตว์ที่มาเป็นอาหารของเรานั้น เกิดมาทำไม ใช้ชีวิตแบบใด และจากโลกนี้ไปอย่างไร มีสื่อมากมายที่ทำให้เราเห็นความจริงของชีวิตเหล่านั้น หลายคนอาจจะไม่เคยเห็นภาพ ไม่เคยรับรู้ข้อมูล แต่เมื่อได้รู้แล้วก็รู้สึกสงสาร เห็นใจ สลด หดหู่ ฯลฯ ใจที่มีเมตตาจะเริ่มเจริญงอกงามขึ้นในช่วงนี้ และเมื่อรู้สึกสงสารแล้วก็เริ่มอยากจะช่วยเหลือ เริ่มที่จะรู้สึกว่าไม่อยากเบียดเบียน จึงเริ่มสนใจเข้าสู่การกินมังสวิรัติ อันคือ “ความกรุณา

ผู้คนมากมาย ที่รับรู้ความโหดร้าย ความทรมานในกระบวนการอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์ แม้จะมีจิตเมตตา แต่ก็ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้เกิดกรุณา คือลงมือทำเพื่อลดการเบียดเบียน เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองมาสู่การ ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ มาลดเนื้อกินผัก การจะช่วยลดการเบียดเบียนเหล่านั้น จำเป็นต้องมีเมตตาและกรุณาที่มีกำลังมากพอที่จะไปตัดความอยากเสพเนื้อสัตว์

ความอยากเสพ คือ ความหลงติด หลงยึด หลงผิดไปว่า ถ้าฉันได้สิ่งนี้มาฉันจะมีความสุข ถ้าฉันได้กินฉันจะอร่อย ทั้งหมดนี้คือ “ กิเลส ” ที่สร้างความสุขลวง สร้างรสอร่อยขึ้นมา การออกจากสภาพติดยึดเหล่านี้ต้องใช้เมตตาและกรุณา คือความรักความเห็นใจต่อสัตว์โลก และลงมือปฏิบัติเพื่อช่วยลดการเบียดเบียนชีวิตของเขา และยังใช้ความเกลียดสิ่งที่ชั่ว อันคือความโหดร้าย ทารุณ การเบียดเบียนต่างๆ เข้ามาเสริมความยึดดีในจิตใจเพื่อการออกจากนรกของการเสพ

การจะก้าวเข้าสู่ชีวิตนักมังสวิรัติได้ จำเป็นต้องใช้ “ความพยายาม ” มากกว่าการเจริญเมตตาและกรุณา คือต้องพิจารณาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย จากการไปเสพเนื้อสัตว์ พร้อมทั้งพิจารณาประโยชน์จากการเลิกเสพเนื้อสัตว์ ในด้านสุขภาพ การเงิน เวลา สังคม กรรมและผลของกรรม ฯลฯ และพิจารณาหลักธรรมข้ออื่นๆประกอบไปด้วย เช่น ไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยงของอาการอยากเสพเนื้อสัตว์ ความเป็นทุกข์จากการเสพหรือไม่ได้เสพเนื้อสัตว์ ความไม่มีตัวตนแก่นสารสาระแท้ใดๆในการเสพเนื้อสัตว์ ก็จะสามารถทำให้ผู้กินมังสวิรัติมือใหม่ พัฒนาไปเป็นผู้ที่สามารถกินมังสวิรัติอย่างเป็นสุขและยั่งยืนได้

เมื่อพัฒนาจนเต็มที่จะพบว่า แม้จะกลับไปกินเนื้อสัตว์ก็จะไม่มีความสุขจากการเสพเหมือนเดิม ความอร่อยจากเนื้อสัตว์ที่เคยมีจะหายไป เหลือแต่ความอร่อยจากรสชาติที่ปรุงแต่งขึ้นมา แต่จะได้ความสุขจากการไม่เสพขึ้นมาแทน  นักมังสวิรัติที่ไม่สามารถลด ละ เลิก ความอยากเสพ หรือ กามสุขลิกะ อันคือความสุดโต่งไปในด้านของการเสพ (กิเลสในมุมเสพวัตถุ) จะไม่สามารถกินมังสวิรัติได้ยั่งยืน แม้จะกินมานาน 30-40 ปี ก็มีโอกาสกลับไปกินเนื้อสัตว์ได้อยู่ เพราะความอยากยังไม่ตาย กิเลสที่มีจะแค่ถูกกดข่ม ถูกลืมไป แต่กิเลสจะแอบพัฒนาตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ และส่งผลออกมาในภายหลัง ในลักษณะที่เรียกว่า “ตบะแตก

ดังนั้นจำนวนปีหรือช่วงเวลาที่ลด ละ เลิก ได้ ไม่ใช่ตัวยืนยันว่าเราจะออกจาก ความอยากเสพได้ หากเรามุ่งเป้าหมายว่าจะเมตตาสัตว์โลก ลดการเบียดเบียน ความอยากเสพเป็นรากของกิเลสที่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะเป็นตัวอย่างของนักมังสวิรัติที่ไม่ดี ปากก็บอกคนอื่นว่ากินมังสวิรัติ แต่แล้วเวลาเผลอก็แอบไปกินเนื้อสัตว์ หรือไม่ก็กดข่มจนสุดท้ายก็ตบะแตกไปกินเนื้อสัตว์ จึงเกิดมีคำถามจากผู้คนทั่วไปว่ากินมังสวิรัติแล้วดีอย่างไร? กินแล้วทรมานจากความอยากแล้วมันดีอย่างไร? แล้วชาวมังสวิรัติจะตอบเขาได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ลดความอยากยังไม่ได้เลย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ พึงตั้งตนอยู่ในคุณอันสมควรก่อน และค่อยพร่ำสอนผู้อื่นภายหลังจักไม่มัวหมอง ” ดังนั้นนักมังสวิรัติ พึงระวังไว้ด้วยว่าเรานี่แหละคือตัวอย่างของคนกินมังสวิรัติ แม้เราจะไม่ได้บอกใครว่ากินมังสวิรัติดีอย่างไร แต่เขาจะเรียนรู้ได้เองจากการสังเกตวิถีชีวิตของเรา คือ การสอนโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากสอน

 

เมตตาสำหรับนักมังสวิรัติ

ชาวมังสวิรัติที่สามารถกินมังสวิรัติได้ตลอด แม้จะต้องไปอยู่ที่ต่างถิ่น ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็สามารถรักษาศีลไว้ได้ไม่ขาด มีศิลปะในการเลี่ยงกินเนื้อสัตว์ หรือผู้ผ่านด่านความอยากเสพเนื้อสัตว์มาแล้ว มีเมตตากรุณากับเหล่าสัตว์ผู้ที่เคยเป็นอาหาร มีความสุขแม้ว่าจะไม่ได้เสพเนื้อสัตว์เหมือนอย่างเคย

แต่ก็มักจะมาติดนรกอีกตัวคือ ความยึดดี ถือดี …เมื่อเมตตาไม่ได้เจริญครอบคลุมไปถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีกิเลส คนที่เขายังไม่เข้าใจถึงทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียของการเบียดเบียนชีวิตอื่น ก็มักจะไปเพ่งโทษคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ว่าจิตใจไม่ดี ไม่เมตตา ไม่กรุณา ต่างๆนาๆ จนทำให้ตัวเองเกิดความทุกข์

ลักษณะอาการ คือ เมื่อเห็นคนกินมังสวิรัติก็จะยินดี ดีใจ มีจิตมุทิตากับเขาได้โดยมีแต่ความสุข แต่เมื่อเห็นคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ หรือแม้แต่เห็นคนที่กินมังสวิรัติไปกินเนื้อสัตว์ กลับไม่สามารถที่จะทำใจให้ยินดีกับสิ่งที่เห็นหรือรับรู้ได้ จึงยินร้าย ขุ่นมัว ไม่พอใจ เพ่งโทษ ถ้าอาการหนักขึ้นมาก็อาจจะมีคำพูด ลีลาท่าทาง หรือการสื่อสารที่แสดงอาการไม่พอใจออกมา ทั้งหมดนี้เป็นอาการของคนติดดี ยึดดี ถือดี เป็น “นรกของคนดี” เป็นคนดีที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ เพราะมีแต่ความกดดัน จึงเป็นคนดีที่ไม่มีใครต้องการ สะสมแต่ “อัตตา” พอกพูนจนเกิดความทุกข์ทั้งตนเองและคนอื่น

เราใช้ อัตตา หรือการยึดดี ถือดี ในการก้าวข้าม ความอยากเสพเนื้อสัตว์มา แต่ในตอนสุดท้ายก็ต้องทำลายอัตตา คือความยึดดี ถือดี เหล่านั้นทิ้งด้วย “ อุเบกขา ” หรือการปล่อยวาง

เมื่อเรามีอัตตา เราจะอยากเสพดีจากคนอื่น คือ แต่ก่อนเราเคยอยากเสพเนื้อสัตว์ แต่พอหลุดจากการเสพเนื้อสัตว์ เราก็มาติดดี หลงว่าต้องเลิกเสพเนื้อสัตว์จึงจะดี จึงกลายเป็นอยากให้คนอื่นทำดีอย่างเรา ทำอย่างที่ใจเราคิด ทำอย่างที่เราทำได้ พอเขาทำไม่ได้อย่างใจเรา เราก็ทุกข์ ใครทำผิดกฎ ใครมาว่าคนกินมังสวิรัติ เราก็ทุกข์ ทั้งหมดนี่เป็นอาการอยากเสพสิ่งที่ดีจากคนอื่น เกิดดีสมใจจึงจะเป็นสุข ไม่เกิดดีสมใจก็เป็นทุกข์

ถ้ามาถึงตรงนี้ต้อง พิจารณาความจริง ตามความเป็นจริง เพื่อปล่อยวาง “ความยึดมั่นถือมั่น”  คือ ให้เมตตาขยายไปถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีกิเลส การที่เขายังเสพติดเนื้อสัตว์เพราะเขายังมีกิเลส เหมือนอย่างที่เราเคยมีเมื่อก่อน เขาจำเป็นต้องใช้เวลาเรียนรู้กิเลสอีกนานจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ ให้เข้าใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม การที่สัตว์เหล่านั้นถูกฆ่าเพื่อกินก็เป็นกรรมที่พวกเขาทำมาเอง ถ้าพวกเขาไม่เคยเบียดเบียนก็ไม่มีทางที่จะถูกเบียดเบียน เราไปห้ามกรรมเหล่านั้นไม่ได้ เพราะกรรมเป็นของใครของมัน ”ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาได้รับโดยที่เขาไม่ได้ทำมา สิ่งที่พวกเขาได้รับคือสิ่งที่เขาทำมาแล้วทั้งนั้น” เป็นสัจจะที่ใช้พิจารณาความจริงได้ตลอดกาล

หากชาวมังสวิรัติมีโอกาสที่จะแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตมังสวิรัติ เราทำได้เพียงแค่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง แต่ไม่ต้องใส่ความโกรธ ใส่การเปรียบเทียบ ใส่การยกตนข่มคนอื่น ใส่ความยึดดีถือดีลงไป เพราะแม้เราจะเป็นกินมังสวิรัติได้อย่างบริสุทธิ์ แต่ถ้ายังไม่สามารถเมตตาคนอื่นได้ ก็ยังมีโอกาสที่จะปล่อยคำพูดที่เหน็บแนม ดูถูก เหยียดหยัน ประณาม กดดัน ฯลฯ ซึ่งก็คงยากที่จะสร้างชาวมังสวิรัติเพิ่มได้ เพราะการสื่อสารที่มีอัตตาปน ผู้รับฟังจะสามารถรู้สึกได้ เช่น ไม่ระรื่นหู ไม่สบายใจที่จะฟัง ฟังแล้วอึดอัด กดดัน ฯลฯ แม้โดยรวมจะดูเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คำพูดสวยหรู เข้าถึงคนจำนวนมาก แต่ก็เป็นเหตุทำให้การสื่อสารเหล่านั้นไร้ประสิทธิผลคือ เขาก็พูดดีนะ แต่รู้สึกว่าไม่อยากรับฟัง

เมื่อเราพิจารณาตามความเป็นจริง เข้าใจเหตุปัจจัยของการเกิดสิ่งต่างๆด้วยปัญญาแล้ว จึงจะสามารถปล่อยวางความอยากเสพและความยึดดี ถือดี ทั้งหมดได้ กลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สื่อสารด้วยเมตตา ไม่มีอัตตาปน มีความกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย มีมุทิตาจิตได้ในทุกๆสถานการณ์ เมื่อได้ทำดีอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผลอาจจะไม่เกิดดีตามที่ทำก็สามารถปล่อยวางทุกอย่างด้วยใจที่เป็นสุข

คำว่า “ปล่อยวาง” ไม่ใช่ “วางเฉย” ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ในการนำเสนอประสบการณ์หรือข้อมูลเกี่ยวกับการกินมังสวิรัติแก่เพื่อนมนุษย์ แต่หมายถึง ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ว่าดีต้องเกิด เกิดดีจึงจะเป็นสุข ไม่เกิดดีแล้วทุกข์ งานเผยแพร่ข้อมูลมังสวิรัตินั้นยังทำอยู่เหมือนเดิม แต่ความทุกข์ในงานนั้นหายไป เพราะชาวมังสวิรัติได้กำจัดอัตตา คือความยึดดี ถือดี อันเป็นรากเหง้าแห่งกิเลสสิ้นไปแล้ว

เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ค้ำจุนโลก

ดังจะเห็นได้ว่า ความเมตตาอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่ยิ่งใหญ่ได้ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาไปให้ถึงที่สุดแห่งพรหมวิหาร ๔ อันเป็นที่ตั้งแห่งความผาสุกที่ควรสร้าง พัฒนา ขยายขอบเขตให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป

ประสบการณ์กินมังสวิรัติ ที่ร้านอาหารญี่ปุ่น และการตอบคำถามเรื่องมังสวิรัติกับสังคม

July 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,681 views 0

ประสบการณ์กินมังสวิรัติ ที่ร้านอาหารญี่ปุ่น และการตอบคำถามเรื่องมังสวิรัติกับสังคม

วันก่อนมีนัดรวมญาติ เขาก็นัดเลี้ยงกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ชาวมังสวิรัติอย่างเราก็ไปด้วย เพราะการเข้าสังคมเป็นเรื่องสำคัญแต่การปรับตัวอยู่ในสังคมให้เกือบจะกลมกลืนสำคัญกว่า สำหรับครั้งนี้ พอจะมีเมนูในใจจากที่เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง

ไปถึงร้านก่อนญาติสักหน่อย จองโต๊ะไว้ก่อน ใช้เวลาสำรวจเมนูอาหารสักพัก เวลาสั่งจะได้คล่อง ทบทวนให้ดีว่าจะกินอะไร เท่าไหร่ ถึงจะอิ่มพอดี ไม่หิวโหย ไม่ลำบากตัวเองจนต้องไปหากินเพิ่ม หรือกินอิ่มเกินไปจนเดินไม่ได้

เมนูแรกๆที่สั่งเลยคือหน่อไม้ฝรั่งผัด เมนูแบบบ้านๆ ใครคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร ก็สั่งมากินก็ได้ ไม่ต่างกับผัดกินเองที่บ้านเท่าไหร่ ส่วนข้าว กับเครื่องเคียงนั้น ให้น้องที่สั่งอาหารอื่นๆที่สามารถรับเพิ่มเป็นชุด เอาชุดเครื่องเคียงมาด้วย ก็จะมีข้าว เต้าหู้ ซุปมิโซะ กิมจิ อะไรอีกสักอย่างสองอย่างนี่แหละ ของพวกนี้กินได้และทำให้อิ่มได้ด้วย

พอเริ่มมีคนมา มีคนช่วยกิน เราก็จะสั่งเพิ่ม ให้ญาติๆได้ลองชิมกันดูด้วย เมนูซ้ายบน คือ สเต็กเต้าหู้ กินง่ายราคาไม่แพงจำได้ว่าไม่ถึงร้อย มีเต้าหู้ เห็ดหอม เห็ดเข็มทอง และต้นหอมหั่นโรยพองาม

ด้านขวาบนเป็น เต้าหู้ห่อข้าว (อินาริซูชิ) ร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะมีขาย เมนูนี้เอาไว้เวลาหิวๆ อัดข้าวเข้าไป อิ่มไวดี จิ้มโชยุกับวาซาบิ ได้ตามที่ชอบ

ซ้ายล่างจะเป็นสลัดเห็ด มีเห็ดประมาณ 3 ชนิด กับผักสลัด เอามากินรองท้อง หรือเพื่อเพิ่มผักในมื้อนั้นๆ ก็ดีเหมือนกัน ในกรณีที่เราสั่งกินแต่ข้าว แล้วเกรงว่าจะมีแต่คาร์โบไฮเดรต จานนี้ก็อร่อย กินง่าย จะสลัดใส่อะไรก็เหมือนๆกัน ทุกอย่างจะถูกกลบด้วยรสของน้ำสลัดหมดเลยจานนี้น่าจะแพงสุดในเมนูมังสวิรัติที่สั่งมาในรอบนี้ ราวๆ ร้อยห้าสิบบาท

ขวาล่างจะเป็น ไข่หวานย่าง สำหรับคนที่ยังกินไข่อยู่ เมนูนี้เป็นอะไรที่กินง่าย หลายๆคนชอบ เพราะหวาน… กินกับข้าวก็ได้ กินเล่นก็ได้ ไม่แพงอีกเหมือนกัน เมนูเกี่ยวกับไข่หวานยังมีอีก เช่น ข้าวปั้นหน้าไข่หวาน

ด้านซ้ายบน เป็นยำสาหร่าย ใครชอบก็สามารถสั่งมาเป็นถ้วยๆ ราคาพอๆกับสเต็กเต้าหู้เลย แต่ถ้าชอบรูปแบบซูชิ ก็สามารถสั่ง ข้าวปั้นหน้ายำสาหร่าย แบบในรูปด้านขวาบนได้ มีขิงดองเป็นเครื่องเคียงแก้เลี่ยนได้เหมือนกัน สองคำก็ประมาณเกือบครึ่งร้อย

ถ้าเราไม่อยากกินข้าว หรือเบื่อข้าวปั้น เราก็สามารถเปลี่ยนมากินโซบะได้ อย่างในรูปด้านซ้ายล่างจะเป็นโซบะเย็น ที่เอาเส้นไปจุ่มน้ำซอสที่ผสมไปด้วย ต้นหอม วาซาบิ และใครชอบไข่นกกระทาก็ใส่ไปด้วยได้ เมนูนี้จำได้ว่า 100 บาท ถ้าสั่งมากินเดี่ยวๆก็ง่ายดี นั่งคุยกันไป กินโซบะไป เพลินกันไป

ส่วนขวาล่างนั้นคือเรือที่เต็มไปด้วยปลาดิบ อันนี้เอามาให้ศึกษากันว่า เราจะทำอย่างไรให้กลมกลืน ให้คนอื่นไม่ลำบากใจ ในกรณีที่ได้สังเกตและทดลอง เราสามารถกินยำสาหร่ายได้ กินหัวไชเท้าและแครอทฝอยๆได้ กินผักประดับได้ รสชาติจะคล้ายๆ สะระแหน่  เราสามารถมีส่วนร่วมไปได้โดยไม่ต้องไปกินแบบเขา แค่เรากินแบบของเราไปก็พอ

เมนูมังสวิรัติ ร้านอาหารญี่ปุ่น

4 เมนูด้านบนนี้ไปกินอีกที ที่ร้านเดิม แต่มีเมนูใหม่ ลำดับแรกด้านซ้ายบนคือ เส้นชิราตากิผัด  (80 บาท ) มีเส้นอารมณ์ประมาณเส้นบุก ผัดกับเห็ด และพริกหวาน ได้เยอะเหมือนกัน ราคาก็ไม่แพง

ขวาบนคือ ข้าวห่อสาหร่ายเต้าหู้ใส่ผัก ( 150 บาท ) แต่ละคำชิ้นใหญ่พอสมควร เป็นข้าวห่อสาหร่ายที่ชาวมังสวิรัติกินได้อย่างสบายใจเพราะมีแต่ผัก ราคาอาจจะสูงไปนิดเมื่อเทียบกับวัตถุดิบ แต่ถ้าคิดอะไรไม่ออกลองสั่งมากินเล่นก็ได้ น่าจะทำให้อิ่มได้เลย

ซ้ายล่าง คือ เห็ดออรินจิผัด ราวๆ 80-90 บาท จำไม่ได้ สั่งมากินขำๆได้ รู้สึกจะผัดน้ำมันหอย ก็แล้วแต่ใครจะพิจารณา แต่เมนูเห็ดแบบนี้ผัดกินเองที่บ้านก็อร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียว มานอกสถานที่เราก็มาลองของเขาบ้าง

ขวาล่าง คือ เต้าหู้ผัดเห็ด ( 110 บาท ) เป็นเต้าหู้อ่อน ที่เอาไปทอด? จนผิวแข็งๆ ทำให้กรอบพอดี ผัดกับเห็ดสองถึงสามชนิด ไม่แน่ใจ ใส่พริกหวานด้วย รสไม่จัดนัก กินกับข้าวน่าจะดี

มีเมนูอาหารที่ชาวมังสวิรัติสามารถกินได้ ที่ไม่ได้สั่งมาอีกเหมือนกัน เช่นพวก ชาบูเห็ด เทมปุระผัก ฯลฯ ใครมีโอกาสก็ลองกันได้…

การตอบคำถามเรื่องมังสวิรัติกับสังคม

ชาวมังสวิรัติต้องหัดมองประโยชน์ของสิ่งต่างๆให้เห็น หาทางออกของสถานการณ์ต่างๆให้ได้ เมื่อพบปะผู้คนที่หลากหลาย จะมีคำถามมากมายว่าทำไมเราถึงกินมังสวิรัติ,จะขาดสารอาหารไหม,จะแข็งแรงไหม,จะมีแรงทำงานไหม ฯลฯ คำตอบของเราสามารถเพิ่มหรือลดจำนวนคนที่กินมังสวิรัติได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกพูดสิ่งไหน

ถ้าเราเลือกจะพูดในสิ่งดี สิ่งที่เป็นประโยชน์ ขยายความในส่วนที่เขาสงสัย ให้เหมาะกับพื้นฐานความรู้ของเขา เขาก็อาจจะเห็นข้อดีของการกินมังสวิรัติ หรือจนกระทั่งสนใจมากินมังสวิรัติกับเราเลยก็ได้

แต่ถ้าเราเลือกพูดในเชิงไม่ดี การพูดข่มคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ การที่เรายังติดว่าต้องทำดี เรายังมีอัตตา ยังไม่เข้าใจว่าจริงๆ เขาเหล่านั้นยังไม่ได้รู้ทุกข์ โทษ ภัย ของการเบียดเบียน เขาไม่รู้ผลเสียของการมีกิเลสนี้ว่าเป็นอย่างไร เราก็อาจจะรีบไปยัดความรู้ บีบคั้น กดดัน พยายามให้เขาหันมา เห็นดี เห็นควร หรือมากินมังสวิรัติกับเรา ทั้งๆที่เขายังไม่มีความสนใจ ความรู้ ความเข้าใจ และยังไม่เต็มใจที่จะทดลองกินมังสวิรัติ  ถ้าเรายังฝืนพูดไป ก็อาจจะทำให้คนที่ฟังเข็ดขยาดกับมังสวิรัติก็ได้ เพราะฟังทีไรก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชั่ว

จริงอยู่ที่ว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นเป็นสิ่งไม่ดี แต่คนเราก็มักจะยอมรับมันไม่ได้ เพราะกิเลสนั้นหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาเหล่านั้นไปแล้ว การจะไปบอกว่ามันไม่ดี ไปดึงเขาออกมาทันทีนั้น ไม่สามารถที่จะทำได้ เราต้องค่อยๆทยอยให้ข้อมูล ที่ย่อย บด ละเอียด คัดสรร อย่างดีแล้วให้กับเขา เหมือนการป้อนอาหารให้เด็กอ่อน ก็ต้องบดเอาสิ่งที่มีคุณค่าพร้อมทั้งทำให้กินง่ายรวมไปในเวลาเดียวกันป้อนให้กับเขาแล้ววันหนึ่งที่เขาเห็นคุณค่าของการกินมังสวิรัติอย่างเต็มที่ เขาจะสนใจที่จะหันมากินเอง

การพูดของเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีงามได้มากมาย ในขณะเดียวกันก็สามารถทำลายสิ่งที่งดงามลงไปได้ในพริบตา การพิจารณาเลือกพูดสิ่งใด เลือกใช้ความรู้ใดๆ มาพูดจำเป็นต้องมีสติและปัญญาเป็นแก่นและสอดร้อยไปด้วยเมตตาในทุกๆคำพูดของเรา

อาหารมังสวิรัติ ไม่อร่อย?

July 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,123 views 0

อาหารมังสวิรัติ ไม่อร่อย?

การเริ่มต้นกินมังสวิรัติ ผู้ทดลองกินหลายคนก็คงจะได้สัมผัสกับความแตกต่าง ที่ต่างไปจากตอนที่ยังกินเมนูอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมอยู่ ไม่มากก็น้อย

ถ้าให้คนทั่วไปเลือกว่าจะกินเนื้อหรือผักในราคาที่จ่ายตามจริง หลายคนก็ยังคงจะเลือกที่จะกินเนื้อ แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่า แต่เขาก็ยินดีที่จะแลกกับความอร่อยที่จะได้รับ คงจะมีส่วนน้อยที่จะเลือกกินผักเป็นหลัก หรือคนที่เลือกกินเนื้อสัตว์นั่นเขาอาจจะเข้าใจว่า อาหารมังสวิรัติ ไม่อร่อย? (เท่าเนื้อ)ก็เป็นได้

จากที่สังเกตจากตัวเองมาพบว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้ติดในรสชาติของเนื้อสัตว์ แต่เราติดในรสชาติของการปรุงอาหาร เช่น เมื่อสมัยที่ยังกินเนื้อสัตว์ ชอบไปสั่งอาหาร ที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย “กะเพราหมูกรอบไข่ดาว” แต่พอหันมากินมังสวิรัติก็เปลี่ยนเป็น “กะเพราเห็ดดอกกะหล่ำ” รสชาติยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เพียงแค่รสสัมผัสบางอย่างหายไป เช่นความกรอบ ความหนาของวัตถุดิบที่เคี้ยว (กินผักเคี้ยวง่ายกว่าเนื้อสัตว์อยู่แล้ว)

ก็เลยเข้าใจว่าจริงๆแล้วเราสามารถแทนที่วัตถุดิบได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรสชาติ จะทำให้เราหันมากินมังสวิรัติได้ง่ายขึ้น โดยสามารถก้าวข้ามความรู้สึกว่า อาหารมังสวิรัติไม่อร่อยไปได้ง่าย เพราะจริงๆแล้วความอร่อยไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์แต่มาจากการปรุงรส และจริงยิ่งกว่านั้นคือความอร่อยมาจากกิเลสของเราเองต่างหาก

การเริ่มต้นกินอาหารมังสวิรัติที่ร้านอาหารที่ขายมังสวิรัติหรือเจ โดยตรง อาจจะทำให้รู้สึกแปลกใจในรสชาติ และรสสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย (แต่จริงๆแล้วร้านอาหารมังสวิรัติ&เจ เขาก็ทำอาหารอร่อยนะ) เราอาจจะเริ่มลองเปลี่ยนจากเมนูในชีวิตประจำวันให้มีผักมากขึ้น แทนที่เนื้อด้วยผักมากขึ้น โดยให้คงรสชาติอาหารให้เหมือนเดิม ให้ตัวเราเองค่อยๆปรับตัวเรียนรู้กับอาหารมังสวิรัติไปอย่างช้าๆ จะดีกว่าหักดิบเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเพียงความคิดแค่ว่าคนอื่นทำได้เราก็ทำได้ เพราะเพียงแค่ “คิด” ว่าจะกินได้นั้น ยังมีพลังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง บางครั้งอาจจะยากเกินไปที่เราจะทำได้ ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าเราติดยึดเนื้อสัตว์มาก จะเลิกในวันสองวันคงทำไม่ได้ มันจะทรมานร่างกายและจิตใจเกินไป ส่วนผู้ที่สามารถปรับมากินมังสวิรัติได้ตามที่ใจคิดก็ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านจัดอยู่ในหมวดคนมีบุญ

แต่…ฉันยังอยากมีความสุขกับการกินเนื้ออยู่…. เคยได้ยินประโยคนี้มา ยอมรับเลยว่าเป็นคำพูดที่จริงใจมาก การยอมรับว่าตัวเองอยากเสพหรือติดอะไร จะเป็นกุญแจที่ไขสู่การแก้ปัญหาได้ง่ายมากกว่าการ ปิดบัง สร้างภาพ วางฟอร์ม ฯลฯ

ต้องยอมรับจริงๆเลยว่าสมัยก่อนก็เคยมีความสุขกับการกินเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเราได้สุขที่เหนือกว่า เรามีสิ่งใหม่ที่ดีกว่า เราเลยยอมทิ้งสิ่งเก่าที่ดูเหมือนว่าจะดี ที่มันหลอกเรามาทั้งชีวิตว่าดี

เราใช้ชีวิตผิดๆมา จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมาบอกว่าการกินมังสวิรัตินั้นดี ด้วยความที่เราพิจารณาตามเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อกันและกัน เราก็ว่าดี เลยทดลองปฏิบัติตามดู จนวันหนึ่งได้พบกับ “ ความสุขที่มากกว่า” คือความสุขที่ปราศจากความอยาก การเบียดเบียนใดๆ เป็นสุขที่มากกว่าเสพ ให้เอาเนื้อสัตว์กิโลกรัมและแสนบาท ล้านบาท หรือมากกว่านั้น มาแลกก็ไม่ยอมเสียไป

มีคนมากมายถามว่า ไม่อยากกินเนื้อสัตว์แล้วหรือ? เห็นแล้วอยากกินไหม? มันโหยหาไหม? เราก็สามารถตอบไปได้เต็มปากเลยว่ามันไม่มีความอยากเหลือเลย เคยไปกินเลี้ยงอยู่ครั้งหนึ่งเขาเลี้ยงสเต็กกัน เราก็สั่งขนมปัง มันฝรั่ง ซุปข้าวโพด สลัดผัก มากินได้อย่างมีความสุข แม้ว่าจะมีเนื้อสเต็กชั้นดีวางตรงหน้า หั่นไว้ให้พร้อมจิ้มเข้าปาก แต่เราก็ยินดีที่จะไม่กินมันอย่างมีความสุข

ในความจริงประโยค “ฉันยังอยากมีความสุขกับการกินเนื้ออยู่….” ผู้กล่าวขึ้นมา ก็ได้แสดงความทุกข์ออกมาอยู่แล้ว นั่นคือถ้าไม่ได้กินเนื้อจะทุกข์ การลำบากไปหาเนื้อสัตว์กินก็ทุกข์ เพราะต้องไปตามหารสชาติหรือรสสัมผัสที่มากกว่าเดิมเรื่อยๆมาสนองกิเลสที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ทุกครั้งที่กินเนื้อก็จะได้สุขจากเสพเพียงเล็กน้อย แต่กลับได้ความ “อยาก” เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องแสวงหาเนื้อคุณภาพดีที่ถูกปาก ให้ลำบากกายไปหากิน ไปหาเงิน หาเวลาไปกินกันต่อไป

จึงจะเห็นได้ว่ายิ่งเสพ…ยิ่งอยากเสพ ยิ่งอยากเสพมาก…กิเลสก็เพิ่มมาก กิเลสมาก…ก็ทุกข์มาก มีแต่ทุกข์กับทุกข์ทั้งต้นทางและปลายทางเท่านั้นเอง

ในเมื่อทุกข์มันรออยู่ปลายทางแล้วยังจะเดินต่อไปอีกหรือ? ยังทุกข์ไม่พออีกหรือ? และสุดท้ายไม่ว่าจะมีเงิน ทอง ทรัพย์สิน เท่าไร ก็คงไม่สามารถซื้อสุขมาเติม ตามที่กิเลสต้องการจะเสพให้เต็มได้

มังเขี่ย

July 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,565 views 0

มังเขี่ย

การใช้ชีวิตมังสวิรัติในสังคมปัจจุบันนั้น เราอาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการกินมังสวิรัติสักเท่าไรนัก คงมีหลายครั้งที่เราต้องเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ที่ไม่ได้กินมังสวิรัติ จะทำอย่างไรให้เรากินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจ

มังเขี่ย คือกลยุทธ์หนึ่งในการกินมังสวิรัติ เมื่อเราต้องกินอาหารร่วมโต๊ะกับผู้คนที่หลากหลาย ก็ย่อมมีอาหารที่หลากหลายตามไปด้วยมีทั้งเนื้อสัตว์ทั้งผักปนเปกันไป เมื่อเห็นเช่นนั้น เราจึงใช้การกินมังสวิรัติแบบเขี่ย คือเขี่ยเอาเนื้อสัตว์ออกไป และเขี่ยผักเข้ามา เมื่อเรามีจิตใจที่ตั้งมั่นในการกินมังสวิรัติ เราย่อมไม่หวั่นไหวต่อเนื้อสัตว์ที่อยู่ตรงหน้า ยินดีที่จะละเว้นเนื้อสัตว์และพยายามเอาตัวรอดโดยการกินแต่ผัก

และแม้ว่าอาหารที่เราสั่งนั้นจะมีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบร่วม เราก็สามารถเขี่ยเนื้อออกไป โดยยกให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่ยังกินเนื้ออยู่ หรือจะเลือกละเว้นไว้ก็ได้ ถ้าให้ดีที่สุดก็เลือกที่จะสั่งอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และถึงแม้เราว่าจะไม่กินเนื้อเหล่านั้น สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นอาหารของใครสักคนแน่ๆ ถึงไม่ใช่ใครสักคนก็อาจจะเป็นสัตว์สักตัว หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารจุลินทรีย์ไป ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังยินดี ที่เราจะไม่ไปเสพผลของการเบียดเบียน ซึ่งจะกลับกลายมาเป็นวิบากกรรมของเราเองในวันใดวันหนึ่ง

มังเขี่ย ในอีกนัยหนึ่ง คือการเขี่ยเนื้อออกไปจากชีวิต และเขี่ยผักเข้ามาในชีวิต เราเลิกที่จะต้อนรับเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ไปโดยลำดับ เริ่มเรียนรู้การทดแทนอาหารต่างๆด้วยพืชผัก จนกระทั่งเราสามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยพืชผักได้อย่างลงตัว มีความสุขกาย เบากาย มีกำลัง มีความยินดีในการลด ละ เลิกเนื้อสัตว์และการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นโดยไม่มีความโหยหา คิดถึง ในเนื้อสัตว์ที่เคยยึดติดอีกต่อไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มังเขี่ยนั้นไม่ได้ทำได้ง่ายอย่างใจคิด ทุกครั้งที่เราจะเขี่ยเนื้อออกไป เขี่ยผักเข้ามา เราต้องสู้กับกิเลสที่เราผูกมานานแสนนาน เรากินเนื้อสัตว์มาทั้งชีวิต โตขึ้นมาก็เพราะกินเนื้อสัตว์ ความทรงจำในชีวิตมีแต่เนื้อสัตว์ หิวทีไรก็นึกถึงแต่เนื้อสัตว์ ดังนั้นในทุกๆคำที่เราจะเขี่ยผักเข้ามาแทนที่เนื้อ เราต้องสู้กับกิเลสของเราอย่างแน่นอน จะแพ้บ้าง ชนะบ้าง ก็ไม่เป็นไร ให้เราตั้งใจพิจารณาโทษของการกินเนื้อ ความทุกข์ โรค ภัยที่เกิดกับร่างกายของเรา กรรมชั่วที่เราจะได้รับจากการมีส่วนเบียดเบียนในชีวิตอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเราเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าการกินมังสวิรัตินี่แหละดีที่สุด วันนั้นเราจึงจะสามารถกินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องโหยหาเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์อีกต่อไป

คนที่กินมังสวิรัติหลายๆคน ต่างก็เคยเป็นคนที่กินเนื้อสัตว์ เคยเสพติดความอร่อยจากเนื้อสัตว์ ชีวิตประจำวันมีแต่อาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ แต่ทำไมวันนี้พวกเขาเหล่านั้นกลับเลือกที่จะเขี่ยเนื้อสัตว์ออกจากชีวิต และหันมาเขี่ยผักเข้าปากแทน มันน่าสนใจไหม ว่าทำไมเขาถึงยอมทิ้งสิ่งที่เคยคิดว่าดี คิดว่าสุขเหล่านั้น หรือเป็นเพราะว่า พวกเขาเจอสิ่งที่ดีกว่า?