Tag: ลด ละ เลิก
ลดการเบียดเบียนเพื่อการพัฒนาสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน
ลดการเบียดเบียนเพื่อการพัฒนาสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน
เมื่อเราตั้งใจเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตมังสวิรัติ มาลดเนื้อกินผัก ด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เมนูอาหารที่เปลี่ยนไป วิธีคิดที่เปลี่ยนไป วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป หรือกระทั่งสังคมที่เปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนก็ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียสิ่งที่เคยมี แต่เป็นแค่ช่วงเวลาที่สิ่งใหม่ (คือ การกินมังสวิรัติ การลดเนื้อกินผัก) กับสิ่งเก่า( คือ วิธีชีวิตเดิมของเรา) กำลังปรับตัวเข้าหากัน เพื่อจะพัฒนาเป็นชีวิตใหม่ที่มีความผาสุกยิ่งขึ้น
แต่การเรียนรู้ที่จะ ลด ละ เลิก สู่ชีวิตมังสวิรัติ หรือลดเนื้อกินผัก นั้นไม่ได้ง่ายขนาดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที เพราะการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น อาจจะกลายเป็นความเบียดเบียนตัวเราเองก็ได้
การเบียดเบียนในช่วงที่ยังพยายามลด ละ เลิกเนื้อสัตว์
เราเลือกที่จะไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น ด้วยการไม่ส่งเสริมให้ฆ่า โดยการลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์ หรือเลิกใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่เมื่อทำได้สักช่วงเวลาหนึ่งอาจจะพบว่า ชีวิตเริ่มจะลำบาก รู้สึกว่าทรมาน รู้สึกว่าอยากกินเนื้อสัตว์ รู้สึกว่าเข้าสังคมยาก รู้สึกว่าไม่มีความสุข ในสภาพจิตใจเช่นนี้ จะเริ่มเข้าข่าย“ การเบียดเบียนตัวเอง“ หากเรายังฝืนทนกับความอยากที่เกินกำลังที่เราสามารถต้านทานไว้ได้ ซึ่งเราก็อาจจะทนได้ในระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จะมีอาการตบะแตก หรือเลิกล้ม เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์ เข็ดขยาดกับความทรมาน ที่ต้องอดทนไม่กินเนื้อสัตว์ทั้งที่ความอยากเสพนั้นไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
การเบียดเบียนตัวเองมักจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีความตั้งใจเกินกำลัง ที่เราทำได้จริงเช่น เลิกกินเนื้อสัตว์ทั้งๆที่ยังอยากกินมากยังติดอยู่มาก หรือเลิกกินน้ำปลา น้ำซุป น้ำมันหอย ไข่ เนย ฯลฯ ทั้งๆที่ยังไม่เรียนรู้ที่จะหาทางเลือกอื่นๆ ให้เรากินได้ ทำให้รู้สึกกดดันตัวเอง หาอะไรกินยาก แม้ว่าเราจะทำได้ ก็ทำได้แค่ระดับฝืนทน กดข่ม ยิ่งอดทนยิ่งทรมาน
ข้อเสียของการกินมังสวิรัติอย่างฝืนทน กดข่มนั้น คือความไม่สดใส ไม่ผ่องใส เครียด ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความสุข ฯลฯ เราควรที่จะกินมังสวิรัติด้วยการเห็นประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงเห็นเป็นเรื่องดีที่คนนิยม การกินอย่างเข้าใจและมีปัญญาจะช่วยให้เกิดความยินดี พอใจ เต็มใจในการกินมังสวิรัติซึ่งเป็นพื้นฐานสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืน
หากขาดความยินดี เต็มใจ พอใจ ที่จะกินมังสวิรัติแล้ว เราก็อาจจะสามารถกินได้สักระยะหนึ่ง แต่ก็มักจะล้มเลิกได้ง่าย แม้จะกินไปได้เป็นปี หลายปี แต่ถ้าไม่ได้เห็นและเข้าใจประโยชน์แท้ของการกินมังสวิรัติก็อาจจะทำให้ไม่มีแรงใจ ไม่มีกำลังใจมากพอที่จะทำให้สมบูรณ์ได้
และเมื่อล้มเลิกก็จะมีคำถามมากมายจากคนอื่นและในจิตใจของตัวเองว่า กินมังสวิรัติแล้วดีจริงหรือ, ดีแล้วเลิกทำไม ,กินเนื้อสัตว์ไม่ดีแล้วกลับไปกินอีกทำไม เราจะตอบเขาหรือตอบตัวเองไม่ได้เลย หรือแม้จะตอบได้ก็ไม่ชัดเจนเพราะเราเองก็ไม่รู้ประโยชน์แท้ๆในการกินมังสวิรัติเหมือนกัน เพราะคนที่รู้ประโยชน์แท้จะสามารถตัดเนื้อสัตว์ได้อย่างยั่งยืน เพราะมีปัญญาจึงเลิกกินเนื้อสัตว์นั้น ในทางกลับกันเมื่อเราไม่รู้ประโยชน์แท้เราจึงไม่สามารถกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนได้ เราจึงต้องใช้การพิจารณาหาประโยชน์ของการกินมังสวิรัติ และโทษของการกินเนื้อสัตว์ ให้มากและบ่อยยิ่งขึ้น ก็จะช่วยเสริมความยินดี เต็มใจ พอใจ ให้เรามีแรงมีกำลังในการกินมังสวิรัติมากขึ้นนั่นเอง
การปฏิบัติสู่ชีวิตมังสวิรัติ จะต้องค่อยๆปฏิบัติไปตามพื้นฐานของแต่ละคน ถ้าติดเนื้อสัตว์มากก็ให้ลด ติดบ้างก็ให้ละ ติดน้อยก็ให้เลิก โดยให้สังเกตตัวเองว่า ถ้าลองเลิกกินเนื้อสัตว์แล้วเราจะทรมานจากความอยากเสพมากแค่ไหน ถ้าพอทนได้ก็ให้ตัดใจเลิกไปเลย แต่ถ้าโหยหา หงุดหงิด หิวกระหาย อยากกลับไปเสพ จนเริ่มเครียดมาก ทุกข์มากก็อย่ามัวไปยึดมั่นถือมั่นจนเบียดเบียนตัวเองเลย ให้วางความยึดดี วางความเป็นคนดีลงไปบ้าง แล้วกลับไปเสพเนื้อสัตว์บ้างเพื่อให้หายทรมาน แล้วค่อยกลับมาตั้งใจเริ่มปฏิบัติ ตั้งหน้าตั้งตาสู้กันใหม่อีกที
เมื่อเรากินมังสวิรัติอย่างไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่เบียดเบียนตัวเองด้วย นั่นจึงเป็นหนทางสู่การกินมังสวิรัติ การลดเนื้อกินผักได้อย่างมีความสุข ทำให้สามารถพัฒนาการ ลด ละ เลิก การเบียดเบียนไปตามลำดับเพื่อพัฒนาสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืนต่อไป
การเบียดเบียนในช่วงที่สามารถเลิกเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาดแล้ว
เมื่อเราเลิกกินเนื้อสัตว์ หันมากินมังสวิรัติได้แล้ว เราก็สามารถที่จะเลิกการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้ที่กินมังสวิรัติมาได้ถึงขั้นนี้ ก็จะมีความรู้ความเข้าใจในการกินมังสวิรัติมากขึ้นด้วย ทำให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกินมังสวิรัติ ซึ่งก็จะเริ่มทำหน้าที่ เผยแพร่คุณค่า ความดีงามของการกินอาหารมังสวิรัติ ไม่ว่าจะในสังคมขนาดเล็ก เช่น ครอบครัว ที่ทำงาน กลุ่มเพื่อน หรือในสังคมใหญ่ต่างๆ
นั่นก็เพราะเมื่อเราได้รับสิ่งดี ค้นพบสิ่งดี เราก็มักอยากจะให้คนที่เรารัก เราห่วงใย รวมถึงเพื่อนมนุษย์อีกหลายคนได้รับสิ่งที่ดี ได้รับความสุข ความสบายใจอย่างเราบ้าง เราจึงเริ่มเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมังสวิรัติไปด้วยความมั่นใจ จนบางครั้งอาจจะไปกดดัน บีบคั้น ทำให้ผู้อื่นลำบากใจ “กลายเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นในมุมของการยึดดี ถือดี“ เพราะเราอยากเสพเหตุการณ์ที่ว่า ทุกคนจะสามารถหันมากินมังสวิรัติได้เหมือนเรา ทำดีได้เหมือนเรา โลกจะดีเมื่อทุกคนทำได้เหมือนเรา หากว่าพวกเขาเหล่านั้นได้รับความรู้ความเข้าใจจากเรา ซึ่งการที่ผู้กินมังสวิรัติเข้าใจและกระทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่ทำแล้วเป็นความดีเป็นกุศล แต่บางครั้งก็มักจะเกินเลยข้ามเส้นที่เป็นกุศลไปเป็นอกุศล คือเริ่มทำให้เขาลำบากใจเข้าแล้ว
ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมากินมังสวิรัติได้โดยใช้องค์ความรู้เดียวกัน หรือเท่ากันเสมอไป เพราะแต่ลดคนมีความยึดติดมากน้อยไม่เท่ากัน เราอาจจะเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งสามารถเข้าใจเราได้ดี แต่คนอีกกลุ่มหรือกระทั่งคนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจเราได้เลย เรามักจะเข้าใจว่าเราทำได้ง่ายๆ ทำไมคนอื่นทำไม่ได้เหมือนเรา เมื่อเราเริ่มรู้สึกว่าการเผยแพร่ของเราติดขัด ไม่ประสบความสำเร็จ คนนั้นคิดไม่เหมือนเรา คนนี้ทำไม่เหมือนเรา เรายึดมั่นถือมั่นว่าการกินมังสวิรัติต้องปฏิบัติแบบเราถึงจะถูก เราจึงเลิกพูดกับคนบางกลุ่มด้วยอาการอึดอัด กดดันตัวเอง ยึดดี ถือดี คิดเอาเองว่าเขาไม่เข้าใจ เราเลยไม่ยินดีที่เขาไม่ปฏิบัติตาม ไม่ยินดีที่เขาคิดไม่เหมือนเรา ในตอนนี้เราก็เริ่มจะเข้าไปในขีดของ “การเบียดเบียนตัวเองในมุมของการยึดดี ถือดีแล้ว”
เพราะใจจริงของเราก็อยากจะสอน อยากจะบอก อยากจะแนะนำสิ่งดีให้เขานั่นแหละ แต่เมื่อทำไม่ได้ เราก็ไม่ได้ปล่อยวางความดีเหล่านั้น แต่กลับยังยึดว่าต้องเกิดดีตามที่ตนมุ่งหมาย เอาความผิดพลาดมาคิด เอามาตีตัวเอง หรือไม่ก็เพ่งโทษคนอื่นไปด้วย ตรงนี้เองเป็นเหตุที่ทำให้คนที่สามารถกินมังสวิรัติได้อย่างดี ยังเกิดความทุกข์ในใจอยู่มาก
เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าเราเองก็เรียนรู้มาแบบหนึ่ง ลักษณะหนึ่ง เราจึงมีปัญญาแค่ในมุมที่เราเรียนรู้มา ซึ่งก็มีอย่างจำกัด ไม่สามารถที่จะนำไปใช้แนะนำให้กับคนที่มีกิเลสมากมายหลากหลายได้ทั้งหมด การปล่อยวางความยึดดีถือดี เมื่อเขาเหล่านั้นไม่เอาดี เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เมื่อผลดีไม่เกิดเราก็ไม่ต้องไปยึดดีปล่อยให้เป็นไปตามบาปบุญของเขา เพราะเราได้ทำดีที่สุด คือการแนะนำ อธิบาย บอกกล่าวไปตามความรู้ที่เรามีแล้วเขาจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อ จะเห็นดีหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของเขา
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะแนะนำ ให้ความรู้เกี่ยวกับกินมังสวิรัติได้อย่างไม่ยึดดีถือดี เราก็จะสามารถเรียนรู้ความอยากที่แตกต่างในแต่ละบุคคลด้วย เพราะเมื่อเราไม่ยึดว่าสิ่งที่เราบอกนั้นจะต้องเกิดดีขึ้นจริง เราจะมีพื้นที่ในใจว่างเผื่อไว้ให้เราใส่ความรู้ใหม่ที่จะเข้ามา เหมือนแก้วน้ำ ที่มีน้ำไม่เต็มแก้วก็จะสามารถรับน้ำใหม่ได้ด้วย เราจะเรียนรู้ว่าคนแบบนี้มีความอยากแบบไหน แล้วต่อไปจะต้องหาความรู้แบบใดไปบอก ไปแนะนำเขา เขาถึงจะเข้าใจได้ง่ายตอบคำถามในใจของเขาได้ โดยที่เรามุ่งความสำเร็จองค์รวมมากกว่าที่จะยึดมั่นถือมั่นเอาความรู้เดิมหรือความรู้แรกที่เราใช้ผ่านการกินมังสวิรัติมาใช้กับทุกคน
และเมื่อเราผ่านการเบียดเบียนทั้งในมุมการเสพเนื้อสัตว์และการเสพดีทั้งหมดแล้ว เราก็จะพบกับความผาสุกที่แท้จริง ยั่งยืน มีความรู้ มีปัญญาเข้าใจคนอื่น ทำให้คำพูด คำแนะนำ คำสอนของเรามีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา
Veggie Kitchen ( 1 month anniversary) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา
จนถึงตอนนี้ก็ครบ 1 เดือนกันแล้วกับ Veggie Kitchen ในเฟสบุค ในตอนแรกนั้นก็ไม่ได้คิดจะตั้งเพจนี้ขึ้นมา เริ่มมาจากลงรูปเมนูอาหารมังสวิรัติในหน้าของตัวเองก่อน ทำไปทำมามันก็เริ่มจะเยอะ และเริ่มคิดได้ว่ามันน่าจะเอามาทำประโยชน์อะไรได้มากกว่าแค่โชว์รูปอาหารมังสวิรัติที่ทำเอง รวมกับมีงานออกแบบส่วนหนึ่งที่เคยทำค้างคาไว้อยู่แล้ว เลยผสมทุกอย่างออกมาลงตัว เป็นอย่างที่เห็นนี่เอง
Veggie Kitchen เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้เริ่มต้นเรียนรู้และหัดกินมังสวิรัติ หัดลดเนื้อกินผัก แสวงหาข้อมูลทางเลือกในการพึ่งตนเองเพื่อจะได้มาซึ่งอาหารมังสวิรัติ และหาวิธีปรับตัวเมื่อต้องกินมังสวิรัติกับสังคมเดิม
- ผู้ที่กินมังสวิรัติมาสักระยะหนึ่งแต่ยังตกหล่น พร่องอยู่เป็นประจำ ที่บ้านที่ทำงานก็กินได้ แต่พอไปในสถานที่ไม่คุ้น เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย ก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ทุกที
- ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ยังมีความทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นกินเนื้อสัตว์ เห็นเขาฆ่าสัตว์ เห็นเขาทรมานสัตว์ ยังไม่สามารถปล่อยวางความยึดดี ถือดีได้
- ผู้ที่กินมังสวิรัติได้อย่างปกติ และอยู่กับสังคมที่กินเนื้อสัตว์ได้อย่างมีความสุข สามารถเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการออกจากนรกของการเสพติดเนื้อสัตว์และการยึดดีให้กับเพื่อนๆ
วัตถุประสงค์ของ Veggie Kitchen
- เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติ ได้มีทางเลือกที่มากกว่าการทำอาหารเอง หรือหาซื้ออาหารจากร้านมังสวิรัติ
- เพื่อให้ผู้กินมังสวิรัติได้เห็นความหลากหลายในวิธีการหากินอาหารมังสวิรัติ
- เพื่อลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นด้วยการเสพ เช่น การกินเนื้อสัตว์ การไปแย่งชิงของรักของสัตว์อื่น
- เพื่อลดการเบียดเบียนตัวเอง โดยการทรมานตัวเองด้วยความยึดดี ถือดี เสพดี ทำให้อึดอัดจนเกิดความทุกข์
- เพื่อการกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนและมีความสุขจากการไม่เสพเนื้อสัตว์และไม่ยึดดีถือดี
- เพื่อสุขภาพที่ดี เพราะการไม่เบียดเบียน ทำให้มีอายุยืน และมีโรคน้อย
- เพื่อลดความอยากในการกิน คือ กิเลส อันเป็นรากเหง้าแห่งปัญหาทั้งปวง
- เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดการ ร่วมเรียนรู้ วิธีปฏิบัติ แบ่งปันประสบการณ์ในการกินมังสวิรัติ
วิถีทางปฏิบัติสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนของ Veggie Kitchen
วิธีที่เราจะใช้เป็นหลักในการกินมังสวิรัติ คือ การ ลด ละ เลิก การบริโภคเนื้อสัตว์ให้เหมาะสมกับพื้นฐานของแต่ละบุคคล ติดมากก็ให้ลดบ้าง ติดปานกลางก็ให้ละบ้าง ติดน้อยก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย และเรายังใช้การ ลดละเลิก ในลดการเบียดเบียนชีวิตอื่นและตนเองในส่วนอื่นๆของการกินและการใช้อีกด้วย
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
เมตตา เป็นคำที่หลายคนคุ้นเคย เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นสบายและอบอุ่นไปทั้งใจเมื่อได้รับ มีคุณค่ามากมายเมื่อเมตตาได้งอกงามและเจริญในจิตใจ ชาวมังสวิรัติมักจะใช้เมตตาเป็นตัวนำในการพาตัวเองไปสู่ชีวิตมังสวิรัติ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองได้ลด ละ เลิก การเบียดเบียนได้
เมตตากับผู้เริ่มต้นกินมังสวิรัติ
เมตตา สำหรับผู้เริ่มต้นกินมังสวิรัตินั้น การที่เราจะพัฒนาเมตตาได้นั้น เราควรจะเรียนรู้ว่าสัตว์ที่มาเป็นอาหารของเรานั้น เกิดมาทำไม ใช้ชีวิตแบบใด และจากโลกนี้ไปอย่างไร มีสื่อมากมายที่ทำให้เราเห็นความจริงของชีวิตเหล่านั้น หลายคนอาจจะไม่เคยเห็นภาพ ไม่เคยรับรู้ข้อมูล แต่เมื่อได้รู้แล้วก็รู้สึกสงสาร เห็นใจ สลด หดหู่ ฯลฯ ใจที่มีเมตตาจะเริ่มเจริญงอกงามขึ้นในช่วงนี้ และเมื่อรู้สึกสงสารแล้วก็เริ่มอยากจะช่วยเหลือ เริ่มที่จะรู้สึกว่าไม่อยากเบียดเบียน จึงเริ่มสนใจเข้าสู่การกินมังสวิรัติ อันคือ “ความกรุณา“
ผู้คนมากมาย ที่รับรู้ความโหดร้าย ความทรมานในกระบวนการอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์ แม้จะมีจิตเมตตา แต่ก็ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้เกิดกรุณา คือลงมือทำเพื่อลดการเบียดเบียน เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองมาสู่การ ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ มาลดเนื้อกินผัก การจะช่วยลดการเบียดเบียนเหล่านั้น จำเป็นต้องมีเมตตาและกรุณาที่มีกำลังมากพอที่จะไปตัดความอยากเสพเนื้อสัตว์
ความอยากเสพ คือ ความหลงติด หลงยึด หลงผิดไปว่า ถ้าฉันได้สิ่งนี้มาฉันจะมีความสุข ถ้าฉันได้กินฉันจะอร่อย ทั้งหมดนี้คือ “ กิเลส ” ที่สร้างความสุขลวง สร้างรสอร่อยขึ้นมา การออกจากสภาพติดยึดเหล่านี้ต้องใช้เมตตาและกรุณา คือความรักความเห็นใจต่อสัตว์โลก และลงมือปฏิบัติเพื่อช่วยลดการเบียดเบียนชีวิตของเขา และยังใช้ความเกลียดสิ่งที่ชั่ว อันคือความโหดร้าย ทารุณ การเบียดเบียนต่างๆ เข้ามาเสริมความยึดดีในจิตใจเพื่อการออกจากนรกของการเสพ
การจะก้าวเข้าสู่ชีวิตนักมังสวิรัติได้ จำเป็นต้องใช้ “ความพยายาม ” มากกว่าการเจริญเมตตาและกรุณา คือต้องพิจารณาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย จากการไปเสพเนื้อสัตว์ พร้อมทั้งพิจารณาประโยชน์จากการเลิกเสพเนื้อสัตว์ ในด้านสุขภาพ การเงิน เวลา สังคม กรรมและผลของกรรม ฯลฯ และพิจารณาหลักธรรมข้ออื่นๆประกอบไปด้วย เช่น ไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยงของอาการอยากเสพเนื้อสัตว์ ความเป็นทุกข์จากการเสพหรือไม่ได้เสพเนื้อสัตว์ ความไม่มีตัวตนแก่นสารสาระแท้ใดๆในการเสพเนื้อสัตว์ ก็จะสามารถทำให้ผู้กินมังสวิรัติมือใหม่ พัฒนาไปเป็นผู้ที่สามารถกินมังสวิรัติอย่างเป็นสุขและยั่งยืนได้
เมื่อพัฒนาจนเต็มที่จะพบว่า แม้จะกลับไปกินเนื้อสัตว์ก็จะไม่มีความสุขจากการเสพเหมือนเดิม ความอร่อยจากเนื้อสัตว์ที่เคยมีจะหายไป เหลือแต่ความอร่อยจากรสชาติที่ปรุงแต่งขึ้นมา แต่จะได้ความสุขจากการไม่เสพขึ้นมาแทน นักมังสวิรัติที่ไม่สามารถลด ละ เลิก ความอยากเสพ หรือ กามสุขลิกะ อันคือความสุดโต่งไปในด้านของการเสพ (กิเลสในมุมเสพวัตถุ) จะไม่สามารถกินมังสวิรัติได้ยั่งยืน แม้จะกินมานาน 30-40 ปี ก็มีโอกาสกลับไปกินเนื้อสัตว์ได้อยู่ เพราะความอยากยังไม่ตาย กิเลสที่มีจะแค่ถูกกดข่ม ถูกลืมไป แต่กิเลสจะแอบพัฒนาตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ และส่งผลออกมาในภายหลัง ในลักษณะที่เรียกว่า “ตบะแตก”
ดังนั้นจำนวนปีหรือช่วงเวลาที่ลด ละ เลิก ได้ ไม่ใช่ตัวยืนยันว่าเราจะออกจาก ความอยากเสพได้ หากเรามุ่งเป้าหมายว่าจะเมตตาสัตว์โลก ลดการเบียดเบียน ความอยากเสพเป็นรากของกิเลสที่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะเป็นตัวอย่างของนักมังสวิรัติที่ไม่ดี ปากก็บอกคนอื่นว่ากินมังสวิรัติ แต่แล้วเวลาเผลอก็แอบไปกินเนื้อสัตว์ หรือไม่ก็กดข่มจนสุดท้ายก็ตบะแตกไปกินเนื้อสัตว์ จึงเกิดมีคำถามจากผู้คนทั่วไปว่ากินมังสวิรัติแล้วดีอย่างไร? กินแล้วทรมานจากความอยากแล้วมันดีอย่างไร? แล้วชาวมังสวิรัติจะตอบเขาได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ลดความอยากยังไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ พึงตั้งตนอยู่ในคุณอันสมควรก่อน และค่อยพร่ำสอนผู้อื่นภายหลังจักไม่มัวหมอง ” ดังนั้นนักมังสวิรัติ พึงระวังไว้ด้วยว่าเรานี่แหละคือตัวอย่างของคนกินมังสวิรัติ แม้เราจะไม่ได้บอกใครว่ากินมังสวิรัติดีอย่างไร แต่เขาจะเรียนรู้ได้เองจากการสังเกตวิถีชีวิตของเรา คือ การสอนโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากสอน
เมตตาสำหรับนักมังสวิรัติ
ชาวมังสวิรัติที่สามารถกินมังสวิรัติได้ตลอด แม้จะต้องไปอยู่ที่ต่างถิ่น ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็สามารถรักษาศีลไว้ได้ไม่ขาด มีศิลปะในการเลี่ยงกินเนื้อสัตว์ หรือผู้ผ่านด่านความอยากเสพเนื้อสัตว์มาแล้ว มีเมตตากรุณากับเหล่าสัตว์ผู้ที่เคยเป็นอาหาร มีความสุขแม้ว่าจะไม่ได้เสพเนื้อสัตว์เหมือนอย่างเคย
แต่ก็มักจะมาติดนรกอีกตัวคือ ความยึดดี ถือดี …เมื่อเมตตาไม่ได้เจริญครอบคลุมไปถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีกิเลส คนที่เขายังไม่เข้าใจถึงทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียของการเบียดเบียนชีวิตอื่น ก็มักจะไปเพ่งโทษคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ว่าจิตใจไม่ดี ไม่เมตตา ไม่กรุณา ต่างๆนาๆ จนทำให้ตัวเองเกิดความทุกข์
ลักษณะอาการ คือ เมื่อเห็นคนกินมังสวิรัติก็จะยินดี ดีใจ มีจิตมุทิตากับเขาได้โดยมีแต่ความสุข แต่เมื่อเห็นคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ หรือแม้แต่เห็นคนที่กินมังสวิรัติไปกินเนื้อสัตว์ กลับไม่สามารถที่จะทำใจให้ยินดีกับสิ่งที่เห็นหรือรับรู้ได้ จึงยินร้าย ขุ่นมัว ไม่พอใจ เพ่งโทษ ถ้าอาการหนักขึ้นมาก็อาจจะมีคำพูด ลีลาท่าทาง หรือการสื่อสารที่แสดงอาการไม่พอใจออกมา ทั้งหมดนี้เป็นอาการของคนติดดี ยึดดี ถือดี เป็น “นรกของคนดี” เป็นคนดีที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ เพราะมีแต่ความกดดัน จึงเป็นคนดีที่ไม่มีใครต้องการ สะสมแต่ “อัตตา” พอกพูนจนเกิดความทุกข์ทั้งตนเองและคนอื่น
เราใช้ อัตตา หรือการยึดดี ถือดี ในการก้าวข้าม ความอยากเสพเนื้อสัตว์มา แต่ในตอนสุดท้ายก็ต้องทำลายอัตตา คือความยึดดี ถือดี เหล่านั้นทิ้งด้วย “ อุเบกขา ” หรือการปล่อยวาง
เมื่อเรามีอัตตา เราจะอยากเสพดีจากคนอื่น คือ แต่ก่อนเราเคยอยากเสพเนื้อสัตว์ แต่พอหลุดจากการเสพเนื้อสัตว์ เราก็มาติดดี หลงว่าต้องเลิกเสพเนื้อสัตว์จึงจะดี จึงกลายเป็นอยากให้คนอื่นทำดีอย่างเรา ทำอย่างที่ใจเราคิด ทำอย่างที่เราทำได้ พอเขาทำไม่ได้อย่างใจเรา เราก็ทุกข์ ใครทำผิดกฎ ใครมาว่าคนกินมังสวิรัติ เราก็ทุกข์ ทั้งหมดนี่เป็นอาการอยากเสพสิ่งที่ดีจากคนอื่น เกิดดีสมใจจึงจะเป็นสุข ไม่เกิดดีสมใจก็เป็นทุกข์
ถ้ามาถึงตรงนี้ต้อง พิจารณาความจริง ตามความเป็นจริง เพื่อปล่อยวาง “ความยึดมั่นถือมั่น” คือ ให้เมตตาขยายไปถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีกิเลส การที่เขายังเสพติดเนื้อสัตว์เพราะเขายังมีกิเลส เหมือนอย่างที่เราเคยมีเมื่อก่อน เขาจำเป็นต้องใช้เวลาเรียนรู้กิเลสอีกนานจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ ให้เข้าใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม การที่สัตว์เหล่านั้นถูกฆ่าเพื่อกินก็เป็นกรรมที่พวกเขาทำมาเอง ถ้าพวกเขาไม่เคยเบียดเบียนก็ไม่มีทางที่จะถูกเบียดเบียน เราไปห้ามกรรมเหล่านั้นไม่ได้ เพราะกรรมเป็นของใครของมัน ”ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาได้รับโดยที่เขาไม่ได้ทำมา สิ่งที่พวกเขาได้รับคือสิ่งที่เขาทำมาแล้วทั้งนั้น” เป็นสัจจะที่ใช้พิจารณาความจริงได้ตลอดกาล
หากชาวมังสวิรัติมีโอกาสที่จะแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตมังสวิรัติ เราทำได้เพียงแค่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง แต่ไม่ต้องใส่ความโกรธ ใส่การเปรียบเทียบ ใส่การยกตนข่มคนอื่น ใส่ความยึดดีถือดีลงไป เพราะแม้เราจะเป็นกินมังสวิรัติได้อย่างบริสุทธิ์ แต่ถ้ายังไม่สามารถเมตตาคนอื่นได้ ก็ยังมีโอกาสที่จะปล่อยคำพูดที่เหน็บแนม ดูถูก เหยียดหยัน ประณาม กดดัน ฯลฯ ซึ่งก็คงยากที่จะสร้างชาวมังสวิรัติเพิ่มได้ เพราะการสื่อสารที่มีอัตตาปน ผู้รับฟังจะสามารถรู้สึกได้ เช่น ไม่ระรื่นหู ไม่สบายใจที่จะฟัง ฟังแล้วอึดอัด กดดัน ฯลฯ แม้โดยรวมจะดูเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คำพูดสวยหรู เข้าถึงคนจำนวนมาก แต่ก็เป็นเหตุทำให้การสื่อสารเหล่านั้นไร้ประสิทธิผลคือ เขาก็พูดดีนะ แต่รู้สึกว่าไม่อยากรับฟัง
เมื่อเราพิจารณาตามความเป็นจริง เข้าใจเหตุปัจจัยของการเกิดสิ่งต่างๆด้วยปัญญาแล้ว จึงจะสามารถปล่อยวางความอยากเสพและความยึดดี ถือดี ทั้งหมดได้ กลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สื่อสารด้วยเมตตา ไม่มีอัตตาปน มีความกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย มีมุทิตาจิตได้ในทุกๆสถานการณ์ เมื่อได้ทำดีอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผลอาจจะไม่เกิดดีตามที่ทำก็สามารถปล่อยวางทุกอย่างด้วยใจที่เป็นสุข
คำว่า “ปล่อยวาง” ไม่ใช่ “วางเฉย” ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ในการนำเสนอประสบการณ์หรือข้อมูลเกี่ยวกับการกินมังสวิรัติแก่เพื่อนมนุษย์ แต่หมายถึง ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ว่าดีต้องเกิด เกิดดีจึงจะเป็นสุข ไม่เกิดดีแล้วทุกข์ งานเผยแพร่ข้อมูลมังสวิรัตินั้นยังทำอยู่เหมือนเดิม แต่ความทุกข์ในงานนั้นหายไป เพราะชาวมังสวิรัติได้กำจัดอัตตา คือความยึดดี ถือดี อันเป็นรากเหง้าแห่งกิเลสสิ้นไปแล้ว
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ค้ำจุนโลก
ดังจะเห็นได้ว่า ความเมตตาอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่ยิ่งใหญ่ได้ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาไปให้ถึงที่สุดแห่งพรหมวิหาร ๔ อันเป็นที่ตั้งแห่งความผาสุกที่ควรสร้าง พัฒนา ขยายขอบเขตให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
ประสบการณ์การกินมังสวิรัติในร้านสุกี้ และการเปลี่ยนแปลงจากสุกี้เนื้อสัตว์มาสู่สุกี้มังสวิรัติ
การกินมังสวิรัติในร้านสุกี้ ถือเป็นด่านที่ค่อนข้างง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่หัดกินมังสวิรัติใหม่ๆ หากมีเพื่อนหรือครอบครัวนัดกันไปกินสุกี้ เราก็สบายใจได้เลยว่ามื้อนี้จะรอดไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เราจะมาลองแชร์ประสบการณ์กินมังสวิรัติในร้านสุกี้กัน
ไปครั้งนี้สั่งไม่เยอะ ไม่หลากหลายเท่าไรนัก เพราะไปกับพ่อสองคน ร้านสุกี้มักจะเป็นร้านที่เรานั่งกินกันตามประสาพ่อลูกเป็นประจำ กินกันมาตั้งแต่ยังไม่กินมังสวิรัติจนตอนนี้เปลี่ยนมากินมังสวิรัติ …ก็จะขอแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการสั่งอาหารไว้ในบทความนี้ด้วย
เมื่อมาถึงร้านสุกี้ เราก็มักจะเปิดเมนูสั่งผักกันก่อน ถ้าเราไม่คิดมากก็กินแต่ผักก็ได้ มีผักให้เลือกมากมายหลายหน้าตา มีรสชาติและรสสัมผัสต่างกันไป เราสามารถสั่งผักแยกตามที่ชอบกิน หรือจะสั่งเป็นชุดรวมก็ได้หากมาเป็นกลุ่มใหญ่ ขึ้นชื่อว่าผักมาเท่าไหร่เราก็กินเรียบ
วิธีการกินผักให้มีความสุข คือ เราควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับผักแต่ละชนิดว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง มีวิตามิน มีคุณค่าทางอาหารแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งการรู้ประโยชน์นั้นจะทำให้เรากินผักอย่างมีความสุข เพราะรู้ถึงคุณค่าในผักแต่ละชนิดที่กิน และยังสามารถรู้ไว้ประเมินธาตุอาหารที่จะได้รับได้อีกด้วย เมนูผักที่สั่งเป็นประจำก็จะมี ผักบุ้ง ผักกาดขาว สาหร่ายวากาเมะ ส่วนรูปทางขวาบน คือ ปวยเล้ง ไม่ได้สั่งประจำสักเท่าไรนัก
ด้านขวาล่างคือ คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ชาวมังสวิรัติอาจจะคิดไปว่า เอ๊ะ! จานนี้มีน้ำมันหอยนี่นา …อย่าเพิ่งใจร้อนตัดสินกันไป เพราะกว่าจะมาถึงจานนี้มันมีที่มาที่ไป ลองมาอ่านกันเลย….
แต่ก่อนเวลากินกับพ่อจะสั่งเป็ดย่างเป็นประจำ แต่เมื่อเราหันมากินมังสวิรัติ ในช่วงแรกนั้นก็ยังสั่งเป็ดย่างมากิน แต่กินโดยที่ใจไม่ได้อยากกิน ไม่อร่อยแล้ว กินเป็นเพื่อนพ่อไป ต่อมาตั้งใจ ละเว้นเด็ดขาด แม้สั่งเป็ดย่างมาแต่ก็ไม่กิน สั่งเพื่อให้พ่อกินคนเดียว สุดท้ายก็ไม่หมด และเราก็ไม่ได้ช่วยกิน ปล่อยมันเหลือไว้อย่างนั้น จนพ่อบอกว่าครั้งหน้าไม่ต้องสั่งก็ได้ เราก็เลยเสนอว่า “ ครั้งหน้าเอาเป็น คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ดีไหม?” เพราะว่าเรามักจะกินเป็ดย่างกับบะหมี่หยกกันเป็นประจำ ถ้ามันขาดไปคงจะเหงาไปหน่อย ซึ่งในตอนนี้ คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย เลยเป็นตัวแทนเป็ดย่างนั่นเอง เข้าสูตรการลด การกินเนื้อสัตว์แล้ว ส่วนจะพัฒนาไปอย่างไร ก็รอดูกันต่อไป
ถ้าเราสามารถละเว้นเนื้อสัตว์ได้สมบูรณ์แล้ว เราอาจจะอนุโลมเป็นกรณีไป ซึ่งต้องประมาณให้เกิดกุศล อย่าบ่อยจนเกินไป อย่างกรณีนี้เป็นคนในครอบครัว ซึ่งเราก็ไม่เคยไปบอกให้เขาหันมากินมังสวิรัติเหมือนเรานะ แค่ทำให้ดู กินให้ดู ไม่หันกลับไปอยากกินเนื้อสัตว์ ไม่ทำตัวไม่มั่นคง ให้เขาไขว้เขวว่ามังสวิรัติดีจริงรึเปล่า? ให้เขาสับสนว่าเลิกกินเนื้อสัตว์แล้วมีความสุขจริงหรือ? เราจะพูดแต่เรื่องดีๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ได้จากการกินมังสวิรัติ โดยไม่ต้องไปกดดัน บีบคั้น หรือไปบอกว่าคนกินเนื้อสัตว์เบียดเบียนอย่างไรให้เขาลำบากใจ
เชื่อไหมว่าเดี๋ยวเขาก็ตามมากินแบบเราเองนั่นแหละ อย่างน้อยเขาก็เห็นดีเห็นควรตามเรา แม้ว่าเขาจะสามารถกินมังสวิรัติได้เฉพาะเวลาร่วมโต๊ะกับเราก็ตาม แต่นั่นหมายถึงเราเปิดประตูและเชิญเขา เข้ามาสู่ชีวิตมังสวิรัติได้บ้างแล้ว เป็นกุศลมากพอแล้ว เพราะเรามีโอกาสจะสร้างชาวมังสวิรัติเพิ่มอีกหนึ่งคน ในทางกลับกันถ้าเราไปกดดัน บีบคั้น รังเกียจคนกินเนื้อสัตว์ อาจจะเผลอไปพูดทำร้ายจิตใจเขา จนเสียโอกาสที่จะเพิ่มชาวมังสวิรัติไปอีกคนหรือหลายคนเลยก็ได้ เพราะจริงๆแล้วคนเราติดยึดไม่เท่ากัน กว่าเราจะออกจากการเบียดเบียน กว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ก็ใช้เวลากันนานพอสมควร …ดังนั้นการที่คนอื่นจะติดยึดในการกินเนื้อสัตว์ จะใช้เวลานานกว่าจะรู้ถึงผลเสีย จนถึงเนิ่นนานไปอีกกว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
มาต่อกันที่เมนูสุกี้มังสวิรัติ เราจะเพิ่มโปรตีนกันด้วยเต้าหู้ มีเต้าหู้มากมายให้เลือกสั่ง ที่ร้านสุกี้มักจะมีให้เลือกระหว่างเต้าหู้ไข่ กับเต้าหู้ธรรมดา ซึ่งน่าจะทำจากถั่วเป็นหลัก ใครอยากลองลดไข่ก็เริ่มจากสั่งเต้าหู้ถั่วเขียวไปก็ได้ เพราะกินไปก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
ต่อกันที่เมนูเห็ด เลือกเห็ดมาสามชนิด คือ เห็ดฟาง เห็ดชิเมจิดำ เห็ดชิเมจิขาว คิดอะไรไม่ออกก็สั่งเห็ดนี่แหละ รวมๆแล้วแค่สั่งสามอย่างคือ ผัก เต้าหู้ เห็ด ให้หลากหลาย ก็มีของให้กินเต็มหม้อสุกี้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าชาวมังสวิรัติจะต้องลำบากในร้านสุกี้ แม้ว่าเพื่อนๆ หรือผู้ร่วมโต๊ะจะกินเนื้อ เราก็กินมังสวิรัติของเราไปได้อย่างสบายใจ เพราะจิตใจเราไม่ได้อยากกินเนื้อ และไม่ได้รังเกียจคนที่กินเนื้อ เพราะเข้าใจดีว่าการเลิกกินเนื้อนั้นยาก ต้องใช้เวลา เราเข้าใจและเห็นใจ พร้อมทั้งยังให้อภัยที่พวกเขากินเนื้ออันมีส่วนในการเบียดเบียน และสุดท้ายเรานี่แหละคือตัวอย่างที่จะทำให้เขาเห็นว่ากินมังสวิรัติแล้วชีวิตดีขึ้นอย่างไร
มาถึงสุดท้าย คือ แป้ง เป็นธาตุอาหารที่ขาดไม่ได้ของชาวมังสวิรัติ ตั้งแต่กินมังสวิรัติมา ไม่เคยลดแป้งเลย ไม่เคยงดข้าว ไม่เคยกินสลัดแทนข้าว (ยกเว้นว่าไปร้านสลัด) ข้าวนี่แหละจะทำให้เรามีแรง มีกำลัง ดังนั้นมากินสุกี้เราจึงสั่ง ข้าวสวย มาด้วยหนึ่งถ้วย เท่านั้นยังไม่พอ เรายังสั่ง เส้นอุด้ง มาด้วย เพื่อความหลากหลายในหม้อสุกี้ และที่ยังขาดไม่ได้คือ บะหมี่หยกราดน้ำเป็ด
อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้ เรากำลังจะปรับสู่ การลด ละ เลิก ในระดับสังคม ดังนั้นการเอื้อให้ผู้อื่นบ้าง ให้เขาได้ทดลองกินมังสวิรัติด้วยความรู้สึกไม่ลำบากจนเกินไป เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าเราไปบีบคั้น ด้วยข้อมูลมากมายว่ายังเหลือการเบียดเบียน กินเนื้อสัตว์ไม่ดี ฯลฯ อาจจะเรียกได้ว่าตึงจนเกินไป ซึ่งจริงๆแล้ว เราควรจะตึง หรือเคร่งกับตัวเองเท่านั้น และให้หย่อนกับคนอื่น ให้เมตตากับคนอื่นมากๆ มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ที่เขาจะไม่รู้ทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียจากการเบียดเบียน เรามีหน้าที่เพียงแค่บอกข้อมูลด้วยเมตตา บอกไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ บอกเนื้อหาให้เหมาะกับเขา พอที่เขาจะรับได้ เข้าใจได้ ไม่ลำบากใจจนเกินไปเขารับได้ เขาสนใจก็ยินดีกับเขา เขาไม่รับไม่สนใจ เราก็วางใจ ปล่อยวางไป
วิธีการเพิ่มชาวมังสวิรัติก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ทำตัวเองให้มั่นคงกับการกินมังสวิรัติ ไม่ย่อหย่อน หาข้ออ้างมากมายเพื่อที่จะได้กินเนื้อสัตว์อย่างสบายใจ ตัดเนื้อสัตว์ให้เด็ดขาด อย่าให้หลงเหลือแม้ความอยากในจิตใจ ให้เขาได้สงสัยในความตั้งใจของเรา ให้เขาเห็นสิ่งดีที่เกิดขึ้นจริงๆด้วยตัวเขาเอง ถ้าเราเชื่อในสัจจะว่าการไม่เบียดเบียนนำสุขมาให้ วันหนึ่งสิ่งนั้นจะแสดงผลของมันเอง และเมื่อเขาเห็นผล เข้าใจเหตุที่มาว่าทำไมจึงเกิดผลขึ้น ถึงวันนั้นเขาสนใจ เขาก็จะมากินมังสวิรัติตามเราเอง
มังเขี่ย
การใช้ชีวิตมังสวิรัติในสังคมปัจจุบันนั้น เราอาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการกินมังสวิรัติสักเท่าไรนัก คงมีหลายครั้งที่เราต้องเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ที่ไม่ได้กินมังสวิรัติ จะทำอย่างไรให้เรากินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจ
มังเขี่ย คือกลยุทธ์หนึ่งในการกินมังสวิรัติ เมื่อเราต้องกินอาหารร่วมโต๊ะกับผู้คนที่หลากหลาย ก็ย่อมมีอาหารที่หลากหลายตามไปด้วยมีทั้งเนื้อสัตว์ทั้งผักปนเปกันไป เมื่อเห็นเช่นนั้น เราจึงใช้การกินมังสวิรัติแบบเขี่ย คือเขี่ยเอาเนื้อสัตว์ออกไป และเขี่ยผักเข้ามา เมื่อเรามีจิตใจที่ตั้งมั่นในการกินมังสวิรัติ เราย่อมไม่หวั่นไหวต่อเนื้อสัตว์ที่อยู่ตรงหน้า ยินดีที่จะละเว้นเนื้อสัตว์และพยายามเอาตัวรอดโดยการกินแต่ผัก
และแม้ว่าอาหารที่เราสั่งนั้นจะมีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบร่วม เราก็สามารถเขี่ยเนื้อออกไป โดยยกให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่ยังกินเนื้ออยู่ หรือจะเลือกละเว้นไว้ก็ได้ ถ้าให้ดีที่สุดก็เลือกที่จะสั่งอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และถึงแม้เราว่าจะไม่กินเนื้อเหล่านั้น สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นอาหารของใครสักคนแน่ๆ ถึงไม่ใช่ใครสักคนก็อาจจะเป็นสัตว์สักตัว หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารจุลินทรีย์ไป ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังยินดี ที่เราจะไม่ไปเสพผลของการเบียดเบียน ซึ่งจะกลับกลายมาเป็นวิบากกรรมของเราเองในวันใดวันหนึ่ง
มังเขี่ย ในอีกนัยหนึ่ง คือการเขี่ยเนื้อออกไปจากชีวิต และเขี่ยผักเข้ามาในชีวิต เราเลิกที่จะต้อนรับเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ไปโดยลำดับ เริ่มเรียนรู้การทดแทนอาหารต่างๆด้วยพืชผัก จนกระทั่งเราสามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยพืชผักได้อย่างลงตัว มีความสุขกาย เบากาย มีกำลัง มีความยินดีในการลด ละ เลิกเนื้อสัตว์และการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นโดยไม่มีความโหยหา คิดถึง ในเนื้อสัตว์ที่เคยยึดติดอีกต่อไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มังเขี่ยนั้นไม่ได้ทำได้ง่ายอย่างใจคิด ทุกครั้งที่เราจะเขี่ยเนื้อออกไป เขี่ยผักเข้ามา เราต้องสู้กับกิเลสที่เราผูกมานานแสนนาน เรากินเนื้อสัตว์มาทั้งชีวิต โตขึ้นมาก็เพราะกินเนื้อสัตว์ ความทรงจำในชีวิตมีแต่เนื้อสัตว์ หิวทีไรก็นึกถึงแต่เนื้อสัตว์ ดังนั้นในทุกๆคำที่เราจะเขี่ยผักเข้ามาแทนที่เนื้อ เราต้องสู้กับกิเลสของเราอย่างแน่นอน จะแพ้บ้าง ชนะบ้าง ก็ไม่เป็นไร ให้เราตั้งใจพิจารณาโทษของการกินเนื้อ ความทุกข์ โรค ภัยที่เกิดกับร่างกายของเรา กรรมชั่วที่เราจะได้รับจากการมีส่วนเบียดเบียนในชีวิตอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเราเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าการกินมังสวิรัตินี่แหละดีที่สุด วันนั้นเราจึงจะสามารถกินมังสวิรัติได้อย่างสบายใจ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องโหยหาเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์อีกต่อไป
คนที่กินมังสวิรัติหลายๆคน ต่างก็เคยเป็นคนที่กินเนื้อสัตว์ เคยเสพติดความอร่อยจากเนื้อสัตว์ ชีวิตประจำวันมีแต่อาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ แต่ทำไมวันนี้พวกเขาเหล่านั้นกลับเลือกที่จะเขี่ยเนื้อสัตว์ออกจากชีวิต และหันมาเขี่ยผักเข้าปากแทน มันน่าสนใจไหม ว่าทำไมเขาถึงยอมทิ้งสิ่งที่เคยคิดว่าดี คิดว่าสุขเหล่านั้น หรือเป็นเพราะว่า พวกเขาเจอสิ่งที่ดีกว่า?
มังสวิรัติ ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป
การเริ่มต้นคิดจะลองกินมังสวิรัติสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะมีร้านอาหารที่ขายอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจอยู่มากมายแต่การที่จะเปลี่ยนมากินมังสวิรัติอย่างจริงจังนั้นไม่ง่าย เพราะการจะพึ่งพาร้านอาหาร หรือสถานที่ที่เราคุ้นเคยนั้นจะทำให้เราไม่ได้เรียนรู้การปรับตัวเมื่อปัจจัยเปลี่ยนแปลง เช่น เมื่อต้องเดินทางออกไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เมื่อต้องทานอาหารร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
จุดประสงค์หรือปลายทางของผู้ที่คิดจะกินมังสวิรัตินั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือต้องการจะลดการเบียดเบียนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป หากเราได้มีการวางแผน ลำดับการเรียนรู้และพัฒนาการกินมังสวิรัติของเราให้ได้สมบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ไปตามลำดับ โดยที่ไม่บีบบังคับให้ตัวเองเกิดความทุกข์ ทรมานจากความโหยหาอยากกินเนื้อสัตว์จนเกินไป และไม่เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เป็นประจำอย่างเดิมเพราะทนความอยากไม่ไหว
ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้การกินมังสวิรัติ เราอาจจะพบปัญหา กินได้ไม่นานก็เลิก, กินตามคนอื่นเขาไปโดยไม่รู้ว่ามันดีอย่างไร, ทนกินไปเพราะคนอื่นเขาว่ามันดูดี, กินไปก็ไม่มีความสุข, กินไปก็ทรมาน เพราะใจจริงก็ยังอยากกินเนื้อสัตว์อยู่ สุดท้ายก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดเลย ถ้าเราพยายามเรียนรู้ที่จะ ลด ละ เลิก ไปตามลำดับที่เราทำไหว โดยตั้งใจที่จะพัฒนาสู่ความเบียดเบียนที่น้อยลงเรื่อยๆ อย่างมีความสุข
…การเริ่มต้นโดยลำดับ ลด ละ เลิก
ลด…. ผู้ที่สนใจหรือต้องการเริ่มต้นกินมังสวิรัติ ควรจะทดลองลดการกินเนื้อสัตว์ดูก่อน ลดในรูปแบบชนิดของสัตว์ ลดจากสัตว์ใหญ่ไปหาสัตว์เล็ก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา อาหารทะเล แมลง ไข่ นมสัตว์ เป็นการลดการฆ่าและการเบียดเบียนไปตามลำดับ และเรายังสามารถลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์ด้วยก็ได้ เช่น การปรับเปลี่ยนเมนูอาหารสู่การลดการใช้เนื้อสัตว์ เปลี่ยนวัตถุดิบจากเนื้อสัตว์กลายเป็นผัก กินอาหารที่ผสมผักในอัตราส่วนที่มากขึ้น เพิ่มผักในแต่ละมื้อให้มากขึ้น ลดการกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลงไป ค่อยๆลดไป จนรู้สึกว่าสามารถทำได้มากกว่า การลด
ละ…. เมื่อมีกำลังใจมากพอ จนรู้สึกว่าสามารถลดการกินเนื้อสัตว์ได้มากแล้ว ให้ลองละเว้นการกินเนื้อสัตว์ เป็นช่วงเวลา เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ในมื้อเย็น, ไม่กินเนื้อสัตว์วันเสาร์อาทิตย์, ไม่กินเนื้อสัตว์สัปดาห์แรกของเดือน, ไม่กินเนื้อสัตว์ในเดือนเกิด, ไม่กินเนื้อสัตว์ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ในการละนี้ อาจจะละเป็นชนิด เช่น ละเนื้อวัวช่วงเวลาหนึ่ง เนื้อวัวหมูไก่ช่วงเวลาหนึ่ง หรืออาจจะละเว้นการเบียดเบียนใดๆก็ตามในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ ละเท่าที่สามารถทำได้ในขีดที่ไม่ทรมานร่างกายและจิตใจตนเองมากเกินไปจนรู้สึกทุกข์ จนเข็ดขยาดกับการกินอาหารมังสวิรัติ โดยให้เพิ่มช่วงเวลาและชนิดของการละเว้นให้มากขึ้น มากขึ้นจนมั่นใจว่าเราละได้อย่างสบายใจ และรู้สึกยินดีที่ได้ละเว้น
เลิก…. เมื่อเราเรียนรู้ที่จะกินมังสวิรัติได้มากพอที่จะมั่นใจว่า สามารถเลิกได้แล้ว อาจจะมีอารมณ์คิดถึง อยากกินอยู่บ้าง เผลอไปกินอยู่บ้าง ทั้งๆที่ใจนั้นไม่ได้อยากกิน หรืออยากเสพรสในเนื้อสัตว์นั้นแล้ว ก็ให้ตั้งใจที่จะเลิก เลิกกินเนื้อสัตว์นั้นๆไปเลย เลิกให้มันออกจากชีวิตไปเลย ไม่มีการอนุโลมว่าจะไปกินในกรณีใดๆ ใครชวนก็ไม่เอา ให้ฟรีก็ไม่เอา พาไปเลี้ยงแถมเงินให้ก็ไม่เอา แม้คนที่เคารพ มีบุญคุณ มีผลประโยชน์ จะหว่านล้อมให้เรากิน เราก็ไม่กิน
ในด่านของการเลิก เรามักจะเจอเหตุการณ์ที่พาให้เราหลงกลับไปกินได้อยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะเรากลัวคนอื่นลำบากใจ กลัวคนนินทา โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องเข้ากลุ่มสังคม หรือแม้กระทั่งในใจลึกๆก็ยังอยากกินอยู่ และเรามักจะใช้เหตุอื่นๆเป็นข้ออ้างในการกลับไปกินเนื้อสัตว์ มีข้ออ้างมากมายทำให้กลับไปกินเนื้อสัตว์ ความคิดที่ว่ากินไปเถอะอย่าคิดมากเลย เริ่มไม่จริงจัง ปล่อยวางก่อนเวลาอันควร กลายเป็นเหยาะแหยะ ครึ่งๆกลางๆ นั่นแหละตัวกิเลส กิเลสคือนักหาเหตุผลที่จะทำให้กลับไปเสพที่เก่งที่สุดในโลก (ของแต่ละคน) ณ จุดที่ตัดสินใจจะเลิก จะต้องเด็ดขาด จริงจัง ยอมถวายชีวิตกันไปเลย ไหนๆ วัว หมู ไก่ ปลา กุ้ง ปลาหมึก ฯลฯ มันก็เคยตายเพื่อ(กิเลส)เรามาเยอะแล้ว ในครั้งนี้เราจะยอมจริงจังเพื่อมันบ้าง
การ ลด ละ เลิก จะไม่สามารถพัฒนาได้เลย หากขาดการเรียนรู้และพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง การหาข้อมูลเกี่ยวกับมังสวิรัติ ความจริงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ทุกครั้งที่เราคิดจะกินหรือไปกินเนื้อสัตว์มาแล้ว ให้พึงระลึกไว้ว่าเราได้มีส่วนสร้างกรรม อันคือความเบียดเบียนให้แก่สัตว์อื่นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะเวียนกลับมาเป็น ทุกข์ โทษ ภัยสู่ตัวเราเอง พิจารณาโทษของการกินเนื้อสัตว์ ความไม่สบายร่างกาย อึดอัดแน่นท้อง ปวดเมื่อย โรคภัยไข้เจ็บ พิษและสารเคมีตกค้าง ความสิ้นเปลือง ฯลฯ โดยให้รู้ว่าความอยากกินเนื้อสัตว์มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เราไปหาอะไรกินให้อิ่มเดี๋ยวมันก็จะลืมไปเอง แท้จริงแล้วความอยากในการกินเนื้อสัตว์มันก็ไม่ใช่สาระอะไรของชีวิตเลย ซ้ำยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เราเกิดความอยาก จนต้องลำบากหาเนื้อสัตว์มากินอีก ทั้งที่จริงก็ได้มีการพิสูจน์กันมากมายแล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรง มีกำลัง เหมือนอย่างคนทั่วไปและที่เหนือกว่าคนทั่วไปก็มี และประโยชน์ในการเปลี่ยนเข้ามาสู่การกินมังสวิรัติ ไม่ว่าจะเป็นความสบายใจ สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ประหยัด บุญและกุศล พยายามหาข้อดี หาประโยชน์ที่ชวนให้เห็นข้อดีตามจริงของการกินมังสวิรัติ หาความรู้กันไปพิจารณาทบทวนกันไปสักวันหนึ่งก็จะเจริญขึ้นเอง
สุดท้าย…. เมื่อเราเลิกได้แล้ว เมื่อเห็นก็รู้สึกว่าไม่อยากกินแล้ว มีโอกาสที่จะได้กิน ก็ยินดีที่จะไม่กินอย่างมีความสุข สบายใจ ไม่โหยหา ไม่เสียดาย ไม่คิดถึง ไม่กังวล ที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์เหล่านั้น แม้จะลองกลับไปทดลองกินก็ไม่ได้เกิดความสุขอย่างที่เคยมีในสมัยยังเสพติดเนื้อสัตว์อีกแล้ว ความสุขจากการเสพมันหายไปจนรู้สึกได้ว่ามันไม่มีอะไรเลย เป็นรสสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง มีรสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เผ็ด ที่เป็นไปตามการปรุงแต่งธรรมดาของอาหาร กลับกลายเป็นว่าเมื่อไม่กินจะมีความสุขมากกว่า ยินดีที่จะสละเนื้อสัตว์ สละการเบียดเบียนออกไปจะดีกว่าที่ต้องไปกิน เมื่อนั้นแหละ ที่เราได้รางวัลมาแล้ว คือความสุขที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจเมื่อได้เสพหรือไม่ได้เสพอีกต่อไป เป็นอิสระจากความอยากกินเนื้อสัตว์ อย่างแท้จริง
และเราก็สามารถที่จะมองสัตว์เหล่านั้นได้อย่างเต็มตา แม้ว่าจะต้องเห็นภาพพวกมันถูกทรมาน หรือถูกฆ่า ก็ไม่ต้องแบกความรู้สึกละอายต่อบาป เพราะเราเลิกเบียดเบียน ไม่มีส่วนแห่งบาปนั้นอีกต่อไป
จะเห็นได้ว่าการกินมังสวิรัติที่เบียดเบียนน้อยที่สุดนั้นทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินความพยายามของเรา…
ึความคิดเห็นล่าสุด